หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า Ear Training หรือการฝึกประสาทหู หรือประสาทการฟังกันมาบ้าง
มันคือการฝึกการฟัง เพื่อแยกแยะและวิเคราะห์เสียงต่างๆ เพื่อทำให้เราสามารถระบุได้ว่า นั่นคือเสียงแบบไหน เรียกว่าอะไร
ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการทำเพลง หรืออาชีพโปรดิวเซอร์
แต่ภายในสายงานการทำเพลง ก็ยังแบ่งเป็น เนื้องานที่เกี่ยวข้องกับ Design ของตัวเพลง อย่างการทำ Compose , Arrange หรือการแต่งเพลง ประพันธ์ เรียบเรียงดนตรี ซึ่งจะโฟกัสกับการออกแบบเพลง โฟกัสกับตัวโน้ตเป็นหลัก และเนื้องานอีกแบบคือเนื้องานที่ข้องกับกระบวนการ Production หรือเรื่อง Technician ต่างๆ ที่ทำโดย Sound Engineer นั่นเอง
การฝึก Ear Training เองก็เช่นกัน ก็ยังมีการแบ่งการฝึกนี้ออกเป็นสองแบบ คือแบบ Composer และแบบ Sound Engineer
อย่างที่เราเคยได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปในโพสต์ก่อนๆ มันคือการ ฝึกฟังเพื่อแยกแยะตัวโน้ตดนตรี แยกแยะความแตกต่างของโน้ตแต่ละโน้ต คอร์ด และขั้นคู่ต่างๆ และโดยส่วนมากจะเชื่อมโยงไปถึงการเลียนแบบโน้ตนั้นด้วยการร้องออกเสียงได้แม่นยำ นับเป็นสิ่งสำคัญมากของการทำเพลง เป็น Producer , Composer และเป็นสกิลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการฝึกฝนเติบโตในระยะยาว ผู้ที่หูดีกว่า มีโอกาสในการสร้างเพลงที่ดีได้มากกว่า เปรียบเสมือนคนที่มองเห็นได้ชัดเจน จะสร้างศิลปะภาพวาดได้ดีกว่าผู้ที่สายตาไม่ดี โดยการฝึกประสาทหูแบบนี้ เป็นการโฟกัสที่ “ตัวโน้ต” หรือระดับเสียงต่างๆ ตามวิชาดนตรี คอร์ดและคู่เสียงต่างๆ โดยอ้างอิงจากความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของตัวโน้ตในวิชาทฤษฎีดนตรี
ส่วนอีกแบบ ที่เป็นการฝึกประสาทหูแบบ วิศวกรเสียง หรือ Sound Engineer เป็นการฝึกฟังโดยโฟกัสกับ “ลักษณะหรือคุณภาพเสียง” อาทิเช่น ย่านความถี่ ,ความแน่นของเสียงที่ถูกกดจากกระบวนการ Compress , มิติ ความกว้าง หรือ Stage , การสะท้อน หรือ Reverb เป็นต้น เหล่าวิศวกรเสียงคือผู้ที่เป็น Technician ที่มาช่วยเหลือ Composer , Arranger , Producer หรือคนดนตรีต่างๆ ในการขัดเกลาให้เสียงต่างๆมีความเนี้ยบ ความลงตัว และเพิ่มคุณภาพงานที่ออกแบบมาแล้วได้มากขึ้น บางครั้งบางทีมันเป็นการฟังโน้ตที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันน้อยมากๆในเชิงของคุณภาพเสียง และต้องฟังความแตกต่างเล็กน้อยนั้นให้ออก ถ้าคุณจะเป็น Soudn Engineer เพราะต้องมาทำการจัดการเสียงต่างๆให้ออกมาเรียบร้อยที่สุด ซึ่งทักษะแบบนี้ เป็นศาสตร์คนละอย่างกับดนตรี แต่จะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในศัพท์ทางดนตรี เราจะเรียกสิ่งที่เป็นคาแรกเตอร์หรือคุณภาพเสียงว่า “Timbre” (ทิมเบ้อ) นั่นเอง
เราจะพบว่า บางคนถนัดอีกอย่าง บางคนถนัดอีกอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และจะมีบางคนที่มีความสามารถครอบคลุม ถนัดทั้งสองอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน แต่ที่แน่ๆ ถ้าจะไปสายไหน คุณควรต้องมีหูที่ดีของสายนั้น หรือถ้ายังไม่มี หรือยังดีไม่พอ ก็ต้องเกิดการฝึกฝน ซึ่งไม่ว่าสายไหนก็ต้องใช้เวลาและก็มีความยากในแบบของตัวเอง
เลือกสายแล้วจึงฝึกฝน
มาถึงตรงนี้คุณคงพอเข้าใจแล้วว่า ทั้งสองอย่างแตกต่างกันอย่างไร ทีนี้ถ้าคุณมีความชัดเจนแล้วว่าจะฝึก Ear Training แบบไหน ฝึกไปเพื่อจะเป็นอะไร จะได้ไม่สะเปะสะปะ ลองหาโหลด App หรือโปรแกรมต่างๆที่ช่วยในการฝึกฝนทั้งสองสายได้ด้วยตัวเอง และพัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อประโยชน์ในการเป็นสุดยอด Producer ของคุณ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ครับ
ส่วนใครนั้นที่อยากจะเรียนรู้ทฤษฏีดนตรีเพิ่มเติม และอยากจะเข้าใจดนตรีมากขึ้น
หลักสูตร The Real Producer ของเราก็พร้อมที่จะสอนคุณให้ตั้งแต่พื้นฐานจาก 0 ไปจนถึงมืออาชีพเต็ม 100 ไปประกอบอาชีพที่ตัวเองรักได้เลย แถมเราก็มีการแทรกการฝึก Ear Training เข้าไปด้วยบ้าง ในบางวิชา ถ้าหากใครสนใจติดต่อได้ครับ ใครที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ช่องทางด้านล่างเลย
บทความที่เกี่ยวข้อง
https://verycatsound.com/blog-5appeartraining/
https://verycatsound.com/blog-eartraining/
———
[ใส่ท้าย]