เรียนทำเพลง filmscore

อยากเป็นนักทำดนตรีประกอบ หรือ Film Score ควรเรียนอะไรบ้าง?

Share via:

Krissaka Tankritwong

การทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ หรือดนตรีประกอบสื่อ อาทิ Animation , ภาพเคลื่อนไหว , โฆษณา ต่างๆ เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับคนทำเพลง หรือนักดนตรี ซึ่งบางคนอาจยึดเป็นอาชีพเสริม จากการเป็นศิลปิน หรือนักดนตรี หรือบางคนก็อาจจะทำเป็นอาชีพหลักเลย โดยกว่าจะเป็นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญในดนตรีที่แตกฉานแล้ว ยังต้องทำการประยุกต์เอาความรู้ทางดนตรีนั้นมาใช้งานกับสื่อประเภทภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย โดยมันเป็นเครื่องมือสำคัญของการเล่าเรื่องด้วยภาพเคลื่อนไหว ที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนทางอารมณ์ ตามการกำกับและจุดประสงค์ของฉากนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มให้ภาพนั้นๆ “มีชีวิต” ขึ้นมาได้อย่างมาก

หนทางที่จะไปสู่เส้นทางนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันแทบจะอยุ่ปลายสายของการทำดนตรี แน่นอนว่าคุณสามารถเริ่มทำได้เลยตั้งแต่ยังไม่เก่งก็จริง แต่ไม่แนะนำ เพราะคุณจะมีวัตถุดิบให้เลือกใช้อยู่ในมือน้อยเกินไป และเมื่อเจอโจทย์ภาพที่ต้องใช้ความรู้ทางดนตรีที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของคุณ จะเกิดอาการตันเอาได้ง่ายๆ และไม่สามารถเนรมิตงานที่ดี หรือตรงตามโจทย์ของผู้กำกับหรือลูกค้าได้อย่างที่ใจคิด และเมื่อคุณไม่เก่ง งานออกมาไม่ดี ลูกค้าบอกต่อกัน อยู่ได้ไม่นาน คุณก็ต้องออกจากวงการแล้ว เพราะไม่มีจำนวนงานมากพอที่จะอยู่รอดได้

ฉะนั้นเราจึงมาแนะนำหนทางสู่อาชีพ Film Score ว่าต้องเรียนอะไรบ้าง? ต้องเรียนสาขาไหน? ต้องฝึกฝนอะไร? เราจะแนะนำไว้ทั้งสองแบบ คือแบบฝึกเอง กับแบบ เรียนในสถาบันนะครับ

หนทางสู่อาชีพFILMSCORE

แบบฝึกเอง

  1. เรียน และฝึกเล่นเครื่องดนตรี

แนะนำ Piano ขั้นแรกคุณควรต้องเล่นดนตรีเป็นก่อน อันนี้เป็นเรื่องแน่นอน และควรเล่นให้ได้ในระดับเก่งกว่าคนธรรมดาทั่วไประดับนึง แต่อาจจะไม่ต้องเก่งเท่าสาย Performance จริงๆ ควรเรียนจนเล่นได้ทุกแนวทุกแบบ จนสามารถมองหรือฟังแล้วเข้าใจได้ว่ามันเล่นยังไง จนสามารถเล่นเลียนแบบได้แบบช้าๆ หรือใช้โปรแกรม DAWs ช่วยในการค่อยๆประกอบมันขึ้นมา แน่นอนว่าคุณอาจเล่นจริงไม่ได้ เพราะมันอาจจะเร็ว ซับซ้อน หรือต้องซ้อม แต่ไม่ต้องห่วง ขอแค่คุณเข้าใจมันก็เพียงพอ

แต่ในระยะยาว การฝึกซ้อมสกิลเครื่องดนตรีจนเก่ง จนเล่นสดจริงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีและควรทำ มันจะช่วยขัดเกลา sense ในการคิดเมโลดี้ของคุณให้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ

  1. เรียนรู้ ทฤษฎีดนตรี ให้แตกฉาน

มันคือภาษาของดนตรี ซึ่งคุณควรจะเรียนจนแตกฉาน มันเป็นความเข้าใจใน fundamental สำคัญต่างๆที่ทำให้คุณรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ และสามารถสื่อสารเป็นรูปธรรมกับคนที่คุณทำงานด้วยได้ง่าย มันจะทำให้คุณสามารถคิดดนตรีแบบมีหลักการและเหตุผล และนำมาใช้งานเพื่อตอบโจทย์หรือจุดประสงค์บางอย่างของผู้จ้างได้

การไม่รู้ทฤษฎีดนตรีอาจทำให้คุณทำงานได้เช่นกันด้วยสัญชาติญาณ ซึ่งถ้าคุณทำเพลงที่เป็นของตัวเอง เป็นศิลปิน อาจไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อไรที่คุณทำมันเป็นอาชีพ และต้องสื่อสารกับคนอื่นบ่อยๆ มันจะเกิดปัญหาการสื่อสาร และไม่สามารถสร้างสิ่งที่สามารถแก้ปัญหาตรงตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการได้ เพราะคุณไม่สามารถคิดเป็นเหตุเป็นผลได้นอกจากด้นมันขึ้นมา

  1. เรียน และฝึกการแต่งเพลง

ทั้งเนื้อร้องและทำนอง โดยเฉพาะการแต่งหรือประพันธ์ทำนองเพลง หรือการ Composition การรู้ทฤษฎีดนตรีอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะคุณต้องนำทฤษฎีนั้นมาฝึกฝน สร้างเพลงในแบบต่างๆ เพื่อสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นใจด้วย และเป็นการขัดเกลา sense ในการแต่งเพลงของคุณที่จะแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆเพลงที่คุณแต่ง เรียกว่ามันใช้ชั่วโมงบินในการฝึกฝน เช่นเดียวกับ การเล่นดนตรีนั่นแหละครับ อยากเก่งก็ต้องฝึกเยอะ ทำเยอะ

ที่สำคัญที่ขาดไปไม่ได้ คือคุณควรต้องมี mentor หรือ อ. ที่ปรึกษา ที่จะช่วยดูเพลงและขัดเกลาให้คุณ ว่าสิ่งที่คุณทำมันดีรึยัง เข้าที่รึยัง สามารถพัฒนาต่อตรงไหนได้อีกมั้ย เพราะมันจะทำให้คุณรู้ปัญหา และพัฒนาได้ตรงจุดอย่างต่อเนื่องครับ

  1. เรียน และฝึกการเรียบเรียงดนตรีทุกแนว โดยเฉพาะ Orchestra นอกจากแต่งเพลง หรือการประพันธ์แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการต้องทำดนตรี หรือเรียบเรียงดนตรี Music Arranging ต่อ จนเพลงเสร็จสมบูรณ์ อาทิ กีตาร์ กลอง เบส คีย์บอร์ด เปียโน ไปจนถึงเครื่องดนตรีสังเคราะห์ percussion , เครื่องเป่า เครื่องสายต่างๆ จนครบ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะต้องคิดทุกไลน์ดนตรีด้วยตัวเอง ใน เพลงๆหนึ่งอาจมีโน้ตอยู่เป็นพันโน้ต และคุณต้องคิดท้ังหมดนี้ให้เสร็จสรรพด้วยตัวคนเดียว จงจำไว้ว่า เมื่อคุณ เป็น Professional ทุกโน้ตมีความหมายหมด มันเกิดมาด้วยความตั้งใจของคุณ ไม่ใช่การใส่ไปมั่วๆ สิ่งที่ยากอีกอย่างคือ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้การทำดนตรีให้ครบทุกแนว เพราะคุณไม่สามารถเลือกได้เลยว่า โจทย์ที่คุณจะได้ในการทำงาน จะเป็นแนวอะไร จะมาเลือกทำเฉพาะแนวที่ตัวเองชอบหรือถนัด ตามใจตัวเองไม่ ได้ การเป็น producer หรือ composer เป็นอาชีพ นั้นมันมีความรับผิดชอบที่ต่างกับการเป็นศิลปิน และสิ่งที่ ยากอีกอย่างคือ แนวดนตรีที่คุณอาจจะไม่ได้ชอบ หรือคิดว่ายาก แต่เป็นแนวรากฐานที่สำคัญ อย่าง Classic และ Jazz คุณก็ต้องเรียนรู้ด้วยเช่นกัน เพื่อสามารถนำมาใช้ประยุกต์ได้อย่างแตกฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ทำดนตรีแบบ Orchestra หรือ Orchestration ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการทำดนตรีประกอบ เรียกได้ว่า ต้อง อยู่กับสิ่งนี้เกิน 50% ของการทำดนตรีประกอบเลยทีเดียว
  2. เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีดนตรี การใช้โปรแกรมสมัยใหม่ในการทำดนตรี คือ DAWs การทำดนตรีด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้ plug-in ต่างๆ การสังเคราะห์เสียง synthesizer การทำ sound design หรือไปถึงการทำ mix ,mastering เบื้องต้น เพื่อพอจบงานเองได้ เรื่องพวกนี้สำคัญกับคนทำดนตรีประกอบทั้งหมด เพราะในการทำดนตรีประกอบจริงๆแล้ว คุณต้องประยุกต์อยู่บ่อยๆ บางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นดนตรีเพียวๆ แต่เป็นการทำ sound เข้ามาประกอบ ตามโจทย์ที่ผู้กำกับต้องการ โดยการทำ mix , master เบื้องต้นก็ควรทำเองได้ระดับหนึ่ง ถึงแม้อาจจะมี sound engineer นำไป mix , master หรือ final mix โดยละเอียดรวมอีกทีก็ตาม
  3. เรียนรู้และฝึกฝนการประยุกต์ทำดนตรีประกอบภาพเคลื่อนไหว มันคือปลายสายที่สุด หลังจากคุณเรียนเรื่องเกี่ยวกับการทำดนตรีมาทุกแนวจนหมดจดแล้ว คุณถึงมาเรียนรู้ว่า จะประยุกต์มันให้เข้ากับภาพแบบต่างๆยังไง มันฟังดูเหมือนจะง่าย แต่พอมาทำจริงๆจะพบรายละเอียดปลึกย่อยอีกมาก ที่ไม่ง่าย เพราะการทำด้วยความไม่รู้หรือด้วยสัญชาติญาณอย่างเดียว จะทำให้คุณพบแต่ข้อจำกัดมากมาย และความยากที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าคุณค่อยๆเรียนตามลำดับจนแตกฉานดนตรีมาห้าข้อแรก ตามลำดับการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้น คุณจะมีสติ จับต้นชนปลายได้ และสามารถคิดเป็นเหตุเป็นผลมารองรับ สัญชาติญาณที่คุณมีอีกที และตอบโจทย์ลูกค้าได้ มี source ที่มากพอที่จะหยิบใช้เพื่อตอบจุดประสงค์ของเจ้าของชิ้นงานได้ และง่ายกว่าการไม่รู้ไม่รู้กี่เท่า

การเรียนคือทางตรงที่สุด

คุณอาจคิดว่าฝึกเองก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ความรู้มีฟรีเต็มไปหมด ผมอยากบอกว่า ไม่ผิดและก็ไม่ถูกซะทีเดียว การฝึกเองโดยไม่ไปเรียนกับใครเลยนั้น คุณจะพบปัญหาหลายๆข้อ เช่น คุณจับต้นชนปลาย ลำดับการเรียนรู้ไม่ถูก คุณไม่รู้ว่าคุณอยู่ตรงไหน และทั้งหมดมันมีอะไรบ้าง เนื้อหาเรียงกันยังไง หรือเมื่อทำเพลงออกมาแล้ว คุณก็ไม่รู้อยู่ดีว่า มันดีแล้วหรือยัง ที่คุณเข้าใจมันถูกต้องแล้วหรือยัง เพราะคุณไม่มี mentor หรืออีกปัญหานึงคือคุณอาจจะพอรู้แล้วว่ามีเรื่องยากๆอยู่ที่ต้องเรียนรู้ แต่สิ่งที่มีสอนส่วนมากก็มีแต่เรื่องพื้นฐานหรือ basic เลยไม่สามารถเรียนรู้ความรู้ระดับสูง ที่เพียงพอต่อการประกอบอาชีพนี้ได้

ถ้าคุณสามารถฝึกเองแล้วไปถึงจุดที่ต้องการได้ ผมยินดีด้วยครับ แต่ถ้าพบปัญหาแบบที่ผมบอกไป ที่จริงแล้วคุณควรจะไปเรียน มันเป็นทางตรงที่สุดแล้ว เร็วที่สุด ประหยัดเวลามากกว่าการคลำเองไปได้ไม่รู้กี่เท่า พอคุณใช้ชีวิตไปเรื่อยๆถึงจุดนึงคุณจะค้นพบเองว่า เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด เพราะมันมีอย่างจำกัด ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเพิ่มได้ ในขณะที่เงินมันยังมีโอกาสหาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้น การมี mentor คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด แทบจะเท่าๆเนื้อหาการเรียน อย่างที่บอกไป

อยากจะบอกว่า ถ้าคุณจะจริงจังกับการทำดนตรี จนเป็นอาชีพนี้ให้ได้แล้วล่ะก็ ไปเรียนเถอะครับ จะค่อยๆเรียนแยกๆส่วนเองก็ได้ หรือถ้าคิดว่ามีทุนทรัพย์พอ จะเรียนเป็นสถาบันที่เปิดสอนเฉพาะทางไปเลยก็ยิ่งดีกว่า เพราะมันจัดมาให้ครบๆ ตามลำดับการเรียนรู้อยุ่แล้ว หรือถ้าคุณมีเวลาพอ ก็เรียนในมหาวิทยาลัยดนตรี คณะดนตรี สาขาที่เป็นการประพันธ์ดนตรีประกอบ โดยตรงไปเลย

แนะนำการเรียนในสถาบัน

  1. เลือกคณะหรือสาขาที่ตรงตามความสนใจจริงๆ พยายามอย่าอ้อม เอาตรงจุดไปเลย เช่น ชอบดนตรีประกอบ ก็หาสาขาที่สอนเรื่องนั้นไปเลย อย่างในไทยก็มีมหาวิทยาลัยดนตรีชั้นนำอย่าง มหิดล , ศิลปากร , ม.รังสิต เป็นต้น หรือจะหาสถาบันอื่นๆที่เปิดสอนก็ได้
  2. ถ้าชื่อคณะ หรือชื่อสาขา ฟังดูเข้าใจยาก ว่าเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ให้ไปศึกษารายชื่อว่าวิชาในนั้น ว่ามันตรงกับ การลำดับการเรียนรู้ 6 ข้อที่ว่ามาข้างต้นมั้ย เลือกให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจ คุณควรไปดูที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ หรือติดต่อสถาบันนั้นๆ เองโดยตรง เพื่อซักถามรายวิชาโดยละเอียด
  3. เมื่อตัดสินใจได้ ไปดูหลักเกณฑ์การสอบเข้าเรียน ว่าต้องใช้อะไรบ้าง (ถ้ามี) และใช้เวลาเตรียมตัวกับมัน อาจต้องไปหาเรียนพื้นฐาน หรือหาติวเพื่อสอบเข้าให้ผ่าน

TheRealProducer

มีเปิดสอนFILMSCORE

หรือถ้าคุณอยู่ในจุดที่ อยากเรียน อยากทำมันมากๆ แต่ไม่พร้อมจะไปเรียนในมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่า อายุ เวลา หรืองบประมาณ คุณสามารถเลือกที่จะเรียนในสถาบันนอกมหาวิทยาลัยได้
.
ข่าวดีวันนี้คือสถาบันของเราเปิดสอน ในหลักสูตร The Real Producer มีสอนทุกอย่างตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น จากผู้สอนเกียรตินิยมอันดับ 1 มหาวิทยาลัยชั้นนำ และประสบการณ์ในการทำงานดนตรีกว่า 10 ปี เป็นประกัน
.
คุณสามารถเลือกเองได้ว่า จะเรียนทั้งหลักสูตร เพื่อมีเป้าหมายอาชีพ FILM SCORE
หรือเลือกเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ เก็บความรู้เพื่อต่อยอดในระดับสูงขึ้นได้
หรือเรียนวิชา VCA303 Orchestration in DAWs เพื่อปูพื้นฐานไปยังวิชา FILM SCORE ได้เช่นกัน
https://verycatsound.com/vca303-orchestra/
.
สนใจติดต่อแอดมินที่ Line @veryacademy หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ link ด้านล่างโพสต์นี้

————————

VERY CAT SOUND
Compose Your Dream
.
ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าดนตรีไม่มีทางลัด ถ้าคุณอยากเข้าใจ และเชี่ยวชาญ
ถ้ามีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน ผมไม่อยากให้คุณหลงทาง
มาคุยปรึกษากันได้ครับ ยินดีให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
.
รับ demo คอร์สเรียนฟรี และข้อมูลหลักสูตรเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่นี่
www.verycatsound.academy/funnel01
ติดต่อจ้างทำเพลง Line @verycatsound
ติดต่อเรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.