จะเป็นนักทำเพลง ต้องรู้จัก “ความแฟร์” ของลิขสิทธิ์เพลง

จะเป็นนักทำเพลง ต้องรู้จัก “ความแฟร์” ของลิขสิทธิ์เพลง

Share via:

Krissaka Tankritwong

จะเป็นนักทำเพลง ต้องรู้จัก “ความแฟร์” ของลิขสิทธิ์เพลง

ใครที่ทำเพลงหรืออยู่ในวงการดนตรี เชื่อว่าคงเคยคิดถึงเรื่อง ลิขสิทธิ์เพลง กันไม่มากก็น้อย แต่คำถามคือ ค่าลิขสิทธิ์ในปัจจุบันแฟร์กับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วไหม โดยเฉพาะกับนักทำเพลงที่อยู่ตรงไหนของกระบวนการนี้กันแน่ ก่อนจะเริ่มเส้นทางนักทำเพลง ลองมาทำความเข้าใจเรื่องนี้แบบง่าย ๆ กันก่อน

เรื่องนี้เป็นข้อพิพาทให้เห็นบ่อย ๆ นะครบ ใครถูกใครผิดก็พูดยาก เรียกว่าอยากมาพูดให้เป็นประเด็นเก็บไปฉุกคิดกันว่าลิขสิทธิ์เพลงในตอนนี้มันแฟร์รึเปล่า ซึ่งแบ่งมาเป็น 2 ประเด็นที่อยากพูดถึง

ประเด็นที่ 1 เรื่องลิขสิทธ์บันทึกเสียงและลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม

ลิขสิทธิ์เพลงแบ่งหลัก ๆ ได้ 2 ประเภท

  1. ลิขสิทธิ์บันทึกเสียง (Sound Recording)
    คือ “ไฟล์เสียง” ที่ถูกอัด มิกซ์ มาสเตอร์ และนำไปปล่อยในแพลตฟอร์ม เช่น Spotify หรือผลิตเป็นซีดีขายแบบ physical
    เจ้าของคือ ค่ายเพลง (หรือผู้ลงทุนผลิต) ใครนำไฟล์เสียงไปใช้โดยไม่อนุญาตถือว่าผิดกฎหมาย แต่ถ้าเป็นการคัฟเวอร์เพลง เล่นเนื้อร้องทำนองเหมือนเพลงเลย แต่ว่าเป็นการเล่นใหม่ ไม่ได้เอาไฟล์บันทึกเสียงไปใช้ ก็ถือว่าไม่ผิดลิขสิทธ์บันทึกเสียง
  2. ลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม (Musical Composition)
    ครอบคลุม เนื้อร้อง ทำนองหลัก ดนตรี คนที่เกี่ยวข้องก็คือ คนแต่งเนื้อร้อง คนแต่งทำนอง และคนเรียบเรียงทำดนตรี กรณีนี้ก็จะเกี่ยวโดยตรงกับคนคัฟเวอร์เพลงโดยเล่นใหม่ทั้งหมด แต่ทำนองและเนื้อร้องเหมือนต้นฉบับ
    ถึงจะไม่ผิด “บันทึกเสียง” แต่จะละเมิด “ดนตรีกรรม”

ในทางปฏิบัติ สัญญาแบ่งผลประโยชน์ยังไงก็ขึ้นอยู่กับค่าย
เช่น กำไรอาจถูกแบ่งเป็น ศิลปิน 30% / ลิขสิทธิ์บันทึกเสียง 30% / ลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม 40% และ 40% นี้ยังต้องถูกแบ่งย่อยออกไปอีกตามคนที่อยู่ในส่วนของลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม จึงไม่มีมาตรฐานตายตัว มีทั้งบริษัทแฟร์ที่ให้ส่วนดนตรีกรรมเยอะ
แต่บางแห่งกลับให้ค่ายและศิลปินก่อน เหลือส่วนของนักแต่งเพลงน้อย หรือซื้อขาดโดยไม่เหลือลิขสิทธิ์เลย ซึ่งมีเยอะเหมือนกัน

โดยเฉพาะโปรดิวเซอร์ หรือนักทำเพลงรุ่นใหม่ มักเจอสถานการณ์ที่ลูกค้า
ยึดค่านิยมว่าผู้ว่าจ้างต้องเป็นเจ้าของทุกอย่าง ทั้งที่ในต่างประเทศ การจ้างทำเพลงมักยังคงให้สิทธิ์ดนตรีกรรมกับคนทำเพลง
แต่ในไทยยังมีไม่มาก

ต้องระวังจากประสบการณ์ตรงเลย คือมีเคสที่คุยตกลงกันแล้วและยอมเริ่มงานให้ก่อน แต่เอกสารสัญญาที่ตามมาภายหลังกลับไม่ตรงกับที่คุย
เช่น ขอครอบครองลิขสิทธิ์ทั้งหมด
คนทำเพลงก็ต้องเลือกระหว่าง “ไม่แฟร์แต่ได้เงิน” หรือ “แฟร์แต่ไม่ได้งาน” ซึ่งถ้าอยากได้เงินก็ต้องยอมรับสัญญาไม่เป็นธรรมอันนี้

ประเด็นที่ 2 การแบ่งลิขสิทธิ์ในดนตรีกรรม

กระบวนการทำเพลงมีหลายคนมีส่วนร่วมหลัก ๆ สี่คน คือ คนแต่งเนื้อร้อง คนแต่งทำนอง คนเรียบเรียงดนตรี ไปจนถึง Sound Engineer ที่มิกซ์มาสเตอร์ แต่ว่าเวลาที่คิดลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม มันจะเหลือแค่เนื้อร้องกับทำนอง เพราะในภาษากฎหมายจะเขียนแค่ว่าลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม หมายถึง เนื้อร้องและทำนองเท่านั้น ซึ่งเนื้อร้องก็เข้าใจได้ว่าเป็นของคนแต่งเนื้อร้อง แต่ว่าในส่วนทำนอง เขาจะถือว่าครอบคลุมทั้งทำนองในแง่เมโลดี้หลัก และครอบคลุมในส่วนของดนตรีไปด้วย

ส่วน Sound Engineer นั้นไม่มีลิขสิทธิ์ เขาจะถือว่าคล้าย ๆ งานช่าง ที่ทำเป็นชิ้น ๆ ทำแล้วจบเป็นเพลง ๆ ได้เงินแค่ตอนทำจบแล้วเท่านั้น ไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์

ซึ่งยากที่จะบอกว่าแบบนี้แฟร์หรือไม่แฟร์ น่าจะมีทั้งคนที่มองว่าแฟร์และไม่แฟร์ อย่างพาร์ททำนอง ก็มองว่าควรแยกเรื่องทำดนตรีออกมาจากเมโลดี้หลักก็ได้ เพราะในความเป็นจริงมันยาก มันใช้สกิลดนตรีสูงกว่า

แต่พาร์ท Sound Engineer ก็คิดว่าอาจจะแฟร์แล้วได้ ถ้ามองว่ามันไม่ใช่การออกแบบ แต่มามาปรับแต่งต่อจากคนที่ออกแบบเขาทำไว้แล้วมากกว่า

ซึ่งก็มองอีกมุมได้อีกว่า Sound Engineer ก็มีสกิลทักษะ ในการปรับแต่งที่เอามาใช้ออกแบบในเสียงบางอย่าง ก็ควรจะมีส่วนในลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมนี้ได้

แต่ถ้ามองในเรื่องต้นทุนและสกิลกว่าจะได้ทักษะมาใช้ทำเพลง การทำดนตรีดูจะยากและใช้ต้นทุนมาก ทั้งในการเรียนและอุปกรณ์ กว่าจะได้สกิลมาเป็นคนทำดนตรีได้ แต่ว่าลิขสิทธิ์ดันไปคิดร่วมกับคนคิดทำนองอีก

ในขณะที่เนื้อร้องที่อาจะไม่ได้ใช้ต้นทุนมากเท่ากับดนตรี กลับเป็นส่วนที่ได้ค่าลิขสิทธิ์เยอะ เพราะถ้าในกฎหมายใช้คำว่าลิขสิทธิ์ดนตรีกรรม คือ เนื้อร้องและทำนอง ก็จะแบ่งทั้งสองอย่างเท่ากันคือ เนื้อร้องไป 50% ทำนองไป 50% ซึ่งทำนองก็ต้องถูกแบ่งไปที่คนคิดเมโลดี้ 25% และคนทำดนตรี 25% กลายเป็นว่าเนื้อร้องกลับได้เยอะกว่า 

ถ้าคิดในมุมการสร้างงานที่ดี ดนตรีทำยากก็จริง ละเอียดกว่าแทบทุกส่วน และทำให้คุณภาพเพลงมันสวยงาม แต่เนื้อร้องและทำนองมันก็มีส่วนมาก ๆ ที่ทำให้เพลงที่มีคุณภาพนี้มันดังไปจนถึงผู้ฟัง พอเพลงมันดัง ก็ได้เงินมาเป็นค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งถ้าใครมองไว้แบบนี้ก็อาจจะถือว่าแฟร์แล้วก็ได้ที่ต้องแบ่งให้เนื้อร้องมากขนาดนี้

ฉะนั้น ไม่ว่าจะเนื้อร้อง ทำนอง หรือดนตรี มันตีเป็นมูลค่าว่าสิ่งไหนมันมากกว่าน้อยกว่ายากมาก แต่ละคนก็มีมุมมองของตัวเอง จนเป็นที่ถกเถียงกันมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็บอกไม่ได้หรอกว่าแบบไหนถูกผิด แต่ใครมีประสบการณ์เจอสัญญาแบบไหน ลองมาแชร์กัน เพื่อเป็นมุมมองถึงนักทำเพลงและสายอาชีพดนตรีนี้ได้ครับ

สำหรับใครที่อยากทำเพลงเป็นอาชีพ เรามี หลักสูตร The Real Producer ที่จะช่วยคุณก้าวสู่การเป็นโปรดิวเซอร์มืออาชีพ พร้อมระบบสมาชิกที่เก็บสะสมความรู้ได้ทุกเดือน ลองมาปรึกษาที่ Verycatsound ได้เสมอ เราจะพยายามเติมความฝันทางดนตรีให้กับทุกคนครับ


สนใจเรียนทำเพลงอย่างจริงจังกับ VERYCATSOUND?
.
VERYCATSOUND Membership เริ่มต้นเส้นทางโปรดิวเซอร์ของคุณด้วยคลาสเรียน Exclusive รายเดือนในราคาที่เข้าถึงได้
► ดูรายละเอียดและสมัครเลย: https://verycatsound.com/join-member/
.
หลักสูตรเต็ม The Real Producer “ลึกและตรงประเด็น” สำหรับผู้ที่พร้อมจะไปให้สุดทาง สู่การเป็นโปรดิวเซอร์มืออาชีพอย่างเต็มตัว
► สอบถามหลักสูตร: LINE Official @verycatacademy คลิก: https://line.me/ti/p/@verycatacademy

ติดต่อจ้างทำเพลง / อื่นๆ
► LINE: @verycatsound
► โทร: 085-666-2425

#VeryCatSound #TheRealProducer #สอนทำเพลง #เรียนทำเพลง #โปรดิวเซอร์ #copyright #song #buisness

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.