รายละเอียดในแต่ละ PACKAGE ในหน้า SERVICES มีประเด็นเรื่องราคา ที่แปรผันตามคุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน ท่านสามารถรับฟังคุณภาพเสียงแต่ละแบบ เพื่อเปรียบเทียบ ประกอบการตัดสินใจได้เลยค่ะ
NO EDITED SAMPLING
EDITED SAMPLING
ตัวอย่าง : นี่คือผลลัพธ์ของการไม่ EDIT เสียง เปรียบเทียบกับเสียงที่ EDIT แล้ว โดยมี SOURCE เป็นเสียงเครื่องดนตรีจำลอง (SAMPLING)
EDITING
คือกระบวนการ ปรับแต่งเสียง หลังจากที่ COMPOSER ใส่โน๊ตทุกเครื่องดนตรีจำลอง (SAMPLING) ลงไปหมดแล้ว เสียงเหล่านั้นจะยังฟังดูแข็งๆ ไม่มีความสมจริง การ EDITING จะช่วยทำให้เสียงที่ออกมามีความเนียน สมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งในกรณีที่ใช้การบันทึกเสียงจริง การ EDITING ก็ยังจำเป็นอยู่ แต่จะมีผลที่เห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าการ EDIT SAMPLING (เนื่องจาก คุณภาพเสียงของการบันทึกเสียงจริง ค่อนข้างดีอยู่แล้ว)
SAMPLING
REAL INS. RECORDING
ตัวอย่าง : นี่คือผลลัพธ์ของการใช้ SAMPLING เสียงทั้งหมด เปรียบเทียบกับการบันทึกเสียงเครื่องดนตรีจริงทั้งหมด
SAMPLING
คือการใช้เครื่องดนตรีจำลอง (เรียกว่า VIRTUAL INSTRUMENT หรือ SAMPLING) เป็นเสียงที่มาจากตัวอย่างเสียงที่บันทึกไว้บนคอมพิวเตอร์ เป็นโน๊ตต่างๆ โดยคุณภาพเสียงจะดีกว่าเสียงจากคอมพิวเตอร์แบบเดิมๆ (ที่มักเรียกกันว่าเสียง MIDI) แต่กระนั้นก็ยังไม่ให้ความสมจริงเท่าเครื่องดนตรีจริง สามารถใช้ทดแทนเครื่องดนตรีจริงได้ในระดับหนึ่ง หากต้องการประหยัดงบประมาณ แต่ควรนำไปผ่านกระบวนการ EDITING เพื่อให้เสียงสมจริงยิ่งขึ้น
REAL INSTRUMENT RECORDING
คือการบันทึกเสียงเครื่องดนตรีจริง แน่นอนว่า เสียงที่ได้คือสมจริง 100% แต่แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากค่าห้องบันทึกเสียง ค่า SOUND ENGINEER และค่าจ้างนักร้อง นักดนตรี
ผสมผสานทั้ง 2 วิธี
ในการทำงานจริง สามารถเลือกเครื่องดนตรีที่จะบันทึกเสียงจริง โดยยืดหยุ่นได้ตามงบประมาณ และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ PRODUCER ผู้ชำนาญการ ในการตัดสินใจว่าจะบันทึกเสียงเครื่องดนตรีกี่ชิ้น ชิ้นไหนบ้าง และใช้ SAMPLING กี่ชิ้น เพื่อให้ตอบโจทย์งบประมาณของลูกค้า และยังตอบโจทย์ชิ้นงาน ทำให้งานออกมาฟังดูดีที่สุดในข้อจำกัด
NO MIXING
STANDARD MIXING
HIGH QUALITY MIXING
ตัวอย่าง : นี่คือผลลัพธ์เปรียบเทียบของเพลงที่ ไม่ผ่านการ MIX กับ เพลงที่ผ่านการ MIX แบบมาตรฐาน และเพลงที่ ผ่านการ MIX แบบ HIGH QUALITY ด้วย SOUND ENGINEER มืออาชีพที่ถนัดในแนวเพลงนั้นๆ *ปล. มิติเสียงจะได้ยินความต่างอย่างชัดเจน เมื่อฟังด้วยหูฟัง*
MIXING
คือกระบวนการผสมเสียง โดย SOUND ENGINEER จะรับ SOURCE เสียง หลังจากที่ทาง PRODUCER/COMPOSER ทำการ EDIT หรือ RECORDING เรียบร้อยแล้ว นำไปผสมให้เสียงต่างๆ กลมกลืน และฟังดูมิติ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ใกล้ ไกล และทำให้เพลงฟังดูมีแน่น และมีน้ำมีนวลขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากกระบวนการบันทึกเสียง ให้ออกมาเนียนเรียบร้อย ตัวเพลงที่ผ่านการ MIX แล้ว จะฟังดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่า เสียงในแต่ละย่านความถี่จะถูกจัดเรียงอย่างดี ไม่ทับกัน ได้ยินทุกย่านความถี่ชัดเจน ได้ยินรายละเอียดดนตรีชัดเจน ในขณะที่เสียงร้องก็ยังคงฟังชัดและโดดเด่นดังอยู่ท่ามกลางสปอร์ทไลท์บนเวที ที่รายล้อมไปด้วยเครื่องดนตรีอย่างลงตัว
HIGH QUALITY MIXING
เรามีการเลือกใช้ SOUND ENGINEER ที่เหมาะสมตามลักษณะประเภทงาน และงบประมาณ โดยเมื่อเลือกใช้ SOUND ENGINEER ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะแนว จะสามารถขับพลังความไพเราะของเพลงออกมาได้มากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวางแผนงาน และงบประมาณเป็นสำคัญ
SAMPLING
REAL INS. RECORDING
ตัวอย่าง : นี่คือผลลัพธ์เปรียบเทียบของเพลงที่ ไม่ผ่านการ MASTER กับ เพลงที่ผ่านการ MASTER แล้ว
MASTERING
คือกระบวนการปรับแต่งขั้นสุดท้าย ก่อนนำเพลงไปใช้จริง โดย SOUND ENGINEER ซึ่งจะมีการปรับแต่งทั้งย่านความถี่เสียง และความดัง โดยละเอียด เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสื่อที่จะนำไปใช้งาน จะทำให้เสียงที่ได้ มีความแน่น ความดัง มากกว่าเดิม โดยได้ความดังแบบมาตรฐานเทียบเท่าเพลงอื่นๆจากสื่อเดียวกัน ทั้งนี้ การตัดสินใจในการทำ MASTERING กี่ชิ้น ขึ้นกับงบประมาณที่ลูกค้ามีเป็นสำคัญ
HIGH QUALITY MIXING
เช่นเดียวกับ การ MIX โดยการ MASTER เองก็มีความต่างในคุณภาพของการเลือกใช้ SOUND ENGINEER ให้ถูกต้อง โดยแปรผันตามงบประมาณเช่นกัน