ตื่น 7 โมงออกมาลุย วันแรกของการลุยแบบเต็มวัน
นอยสอนเดินทางด้วยรถไฟสายต่างๆ จริงๆแล้วก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด (ซึ่งทำให้ผมชะล่าใจ จนต้องหลงแล้วหลงอีกหลายครั้ง…)
มาเติมพลังงานกันก่อน เนื่องจากนี่ไม่ใช่ทริปเน้นกิน ผมจำเป็นจะต้องประหยัดค่ากินเพื่อมาผลาญกับดนตรีอันเป็นจุดหมายหลัก เลยต้องเน้นกินของถูกในหลายๆ มื้อ นอยพามากิน Yoshinoya ข้าวหน้าหมูเซต แค่ 490 เยน ถูกมาก (อาหารที่ต่ำกว่า 500 เยน ที่โตเกียวถือว่าถูก..) มีบางเมนูข้าวหน้าเนื้อราคาแค่ 350-450 เยน กินอิ่มและ รสชาติโอเคเลย เหมาะกับการเที่ยวแบบประหยัด มีหลายสาขาทั่วญี่ปุ่น หาได้ง่ายมาก
มีอาหารหลักอีกอย่างของทริปนี้ที่อยากแนะนำ คือ พวกข้าวปั้นตามร้านสะดวกซื้อ หรือ Conbini (ย่อมาจาก Convenient Store) ต่างๆ (จำพวก 7-Eleven , Lawson , Family Mart) ข้าวปั้นพวกนี้ราคาประมาณ 100-150 เยน กินสองลูกยังไงก็อิ่ม ถ้าเลือกไส้ที่มีโปรตีนเยอะหน่อย อย่างพวกเนื้อสัตว์ ก็มีคุณค่าอาหารที่ดีด้วย ถ้าทนกินได้ตลอดทุกมื้อนี่ประหยัดไปโข มื้อละ 80 บาทเอง ๕๕๕
เราจะเริ่มสำรวจโตเกียวจากจุดแรก คือ
ที่นี่มันมีสารพัดทุกอย่างจริงๆ เป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง… จะเรียกว่าไงดี คือแม่ง “ทุกอย่าง” จริงๆ ตั้งแต่ซ่องยันพิพิธภัณฑ์ , วัดยันเกมส์เซนเตอร์ , ร้านสะดวกซื้อ, อาบอบนวด, ผับ, ห้าง, ชอปปิ้ง, ไฮโซ, ซาลารี่แมน, คนแปลกๆ, โสเภณี, โฮมเลส, นักท่องเที่ยว, ฝรั่ง, โอตาคุ ฯลฯ ที่บอกว่ามันมีทุกอย่าง คือมันทุกอย่างจริงๆ ถ้าใครบอกว่าไม่มีอย่างนึงคือความสงบ ไอ้ซอยหลืบๆตรงนั้นบางซอยก็ดันเสือกมีศาลเจ้าที่เข้าไปได้ยินแต่เสียงจั๊กจั่นอีกแน่ะ เอากะเขาสิ อะไรที่เจ๋งๆในโลกนี้ ถ้าไม่กำเนิดที่นี่ ก็ต้องเอามารวมกันไว้ที่นี่ ไม่รู้ทำไม แม้แต่ นวดแผนไทย กับ ข้าวมันไก่ประตูน้ำสาขาชิบูยะยังมี
ถ้าจะมีจุดที่สามารถพูดได้ว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญของโลก นอกเหนือไปจาก Time Square ที่ New York แล้ว อีกที่หนึ่งก็คือ Shibuya นี่แหละ ที่เป็นศูนย์กลางความฟู่ฟ่าของมนุษย์ฝั่งเอเชีย ซึ่ง ชิบูยะ เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่ หลายสิ่งหลายอย่างที่เจ๋งๆในโลกกำเนิดขึ้นที่นี่ แน่นอนว่ารวมถึงดนตรีแนว “Shibuya-kei” ด้วย ไอ้ห้าแยกชิบูยะนั่นมันเป็นเหมือนศูนย์กลางจักรวาลของการ Cross Culture ยังไงอย่างงั้น มันเต็มไปด้วย คน คน คน และคน และสารพัดสิ่งอย่างในโลก เป็นอะไรที่ “เยอะ” จนขอเรียกว่า “ชิบูเยอะ” ละกัน…
ได้ยินแต่ฝรั่งเขียนในเวบมานานนม พอมาสัมผัสกับมันจะๆถึงเข้าใจ ไอ้ความเยอะของชิบุเยอะ ตอนที่เรายืนอยู่ตรงห้าแยกแล้วกำลังจะข้ามไปอีกฝั่งนึง เสียงที่ได้ยินมันคือความยุ่งเหยิง วุ่นวาย แบบเป็นระเบียบ ได้ยินเสียงจากจอใหญ่ๆ 3-4 จอ และจอเล็กจอน้อยนับไม่ถ้วน บนตึกรอบๆนั้น ที่ประดังกันเข้ามาพยายามจะแย่งความสนใจเรา ทางซ้ายเป็นโฆษณาปัญญาอ่อน ดนตรีกุ๊กกิ๊กน่ารัก ทางขวาเป็นเทรลเลอร์หนังฮอลลีวูด ออเครสตร้าอลังการ ตรงกลางเป็นเพลง J-pop AKB48 รอบข้างมีแต่เสียงคนสารพัดภาษา… ใช่เลยนี่หว่า นี่แหละความ Cross Culture แบบ Shibuya-kei… ในที่สุดผมก็มาสัมผัสความสั่นสะเทือนของอากาศที่นี่ด้วยตัวเองซะที มันคือความรู้สึกแบบนี้นี่เอง…
มี Landmark และร้านหลายร้านที่เด่นๆ และคงเขียนไว้ในหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นแทบทุกเล่ม อาทิ
– Uniqlo ที่บ้านเราก็มี และขายของส่วนใหญ่เหมือนกัน แต่จะมีบางอย่างมีเฉพาะญี่ปุ่น
– MUJI ซึ่งมีสาขาอื่นอีกเพียบ ไม่เฉพาะในชิบุยะ
– Big Camera นี่ก็แทบจะหาได้ทุกย่านในญี่ปุ่น…
– Donkey ขายของสารพัด ซึ่งก็มีเป็นสิบสาขาเช่นกัน
– Starbuck , Mcdonald แบรนด์ดังอะไรทั้งหลาย พวกนี้ ที่ไหนก็เหมือนๆกัน… ต่างแค่วิวบรรยากาศ
– ฯลฯ อีกสารพัดร้านที่หาได้ทั่วไป ถ้าไม่ได้เน้นมาก ผมแนะนำว่า ถ้าใครอยากลดรายละเอียดให้ลิสต์การท่องเที่ยวของท่านดู Simple เข้าใจง่ายขึ้น ให้ตัดออกไปจากลิสต์การค้นหาได้เลยครับ… เพราะไปย่านไหนก็เจอ ชิบุเยอะทุกอย่างมันเยอะเกินจนสาธยายไม่หมด ผมจะขอคัดมาพูดถึงเพียงบางสถานที่นะครับ
เราจะขอเริ่มสำรวจความเยอะจุดแรกกันที่
คนจำนวนมหาศาลต่างมาเดินข้ามแยกที่นี่ ด้วยเหตุเพราะว่ามันเป็นทางผ่าน ทางต่อรถ ศูนย์กลางการเดินทาง ถนนหลายสายมารวมบรรจบกันที่นี่ อันเป็นผลรวมของ ความดีงามไปจนถึงความต่ำทราม ความหรูหราไปจนถึงความกักขฬะ ความมีสไตล์ไปจนถึงความเชยสะบัด ทั้งหมดไหลมารวมกันผสมปนเปกันด้วยผังเมืองที่ดูยุ่งเหยิง มั่วซั่ว และบ้าคลั่ง แต่เสือกเป็นระเบียบ (เพราะมันเป็นคนญี่ปุ่น) สถานที่ๆมีคาแรกเตอร์เฉพาะและไม่มีใครเหมือนนี้จึงมีนักท่องเที่ยว (อย่างผม) นิยมมาถ่ายรูปปรากฎการณ์ไม่ธรรมชาตินี้กันอยู่แทบตลอดเวลา ชาวญี่ปุ่นอาจจะแอบด่าในใจว่า ไอ้พวกนี้มันบ้าอะไรของมัน เดินทางมาค่อนโลกเพื่อมาถ่ายคนข้ามถนน… ยิ่งมาเพิ่มให้คนเยอะหนักขึ้นไปอีก…
หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่น ทุกเล่ม ร้อยทั้งร้อยต้องพูดถึงที่นี่แน่นอน มันเป็นจุดที่คนนิยมเอาไว้นัดกัน ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องนัดกันตรงนี้ด้วย… ไหนๆมาแล้วก็เอาซะหน่อย ผมเลยนัดเจอเพื่อนที่จะตามมาวันท้ายๆมันที่นี่ซะเลย เพื่อให้ได้ฟิลความเป็นญี่ปุ่นครบถ้วน ส่วนเรื่องประวัติที่มาก็คือว่า ฮาจิโกะนี่เป็นประมาณหมาซื่อสัตย์ คอยเจ้าของกลับบ้าน อะไรเทือกๆนี้แหละมั้งนะ… ส่วนไอ้ตู้รถไฟสีเขียว ทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน… เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ
ร้านเช่า DVD หนังเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่อลังการงานสร้างกว่ามาก มี Starbuck รวมอยู่ด้วย ชั้นบนมีขายหนังสือ และที่สำคัญคือ มีให้ “เช่า CD เพลง” ด้วย!? แม่เจ้า!? โลกยุค 2014 นี่มีประเทศที่มีการเช่า CD เป็นล่ำเป็นสันแบบนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย? แสดงให้เห็นว่าวงการดนตรีของเค้าแข็งแรงจริงๆ คนฟัง CD กันจริงจัง
นอกจากนี้ Tsutaya ที่นี่ยังยิ่งใหญ่ขนาดมี Live House หรือสถานที่จัดคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง ถึง 5 ที่ ชื่อว่าเครือ “Shibuya-O” (ตัวโอ ย่อมาจาก Organizer ) ตั้งอยู่ในละแวกชิบุยะนี่แหละ แต่ขอยกยอดไว้พูดถึงในคราวหน้านะครับ
มันเป็น Gallery ที่ติดกับห้าง Tokyu ที่ชิบุยะ มีงานจัดแสดงหมุนเวียนตลอด
มีแสดงงาน art ที่คล้ายๆ ทริคอาร์ท แต่เหนือกว่าเยอะ บัตร 1500 เยน แต่รู้สึกคุ้มนะ งานดีเปิดโลกจริงๆ ข้างในเค้าห้ามถ่ายรูป เลยถ่ายมาได้แต่ด้านนอก มันเป็นงานอาร์ทที่มี Concept ว่าด้วยภาพที่ลวงสายตา คล้าย Trick Art ที่เปิดในไทยแล้วคนนิยมไปถ่ายรูปเล่นกัน อย่างที่กล่าวไป แต่ลึกซึ้งกว่า และมีงานจากสมัยหลายร้อยปีก่อนให้ดูด้วยว่า ของพวกนี้มีคนทำกันตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว..
อีกอย่างที่ประทับใจคือ คนญี่ปุ่นที่มาดูงาน มีเยอะจำนวนนึงเลย แล้วก็เป็นคนหลากหลายเพศและวัย มีครอบครัวพาลูกมาดูด้วย คนบ้านเค้าเสพย์ art กันเป็นเรื่องปกติมาก ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นของเฉพาะของเด็กอาร์ทด้วยกัน มาดูอีกงานที่เป็นภาพ expressionism ตรงแกลลอรี่อีกอันในตึกเดียวกัน เพลงเปิดดีมาก เลือกมาอย่างดีให้เข้ากับภาพ เป็นเพลง bossanova เก่าๆ ที่อิงกับอิตาลีตอนใต้
ร้านหนังสือตรงตึกนั้น ชื่อ NADIFF modern ขายหนังสืออาร์ทๆ ที่สะดุดตา คือ มี กาจาปองงานอาร์ทอยู่หน้าร้าน เลยหมุนซะหน่อย ได้หนังสือของดาวินชี่มา
เป็นร้านกีตาร์ในเครือ Kurosawa มีกีตาร์ทุกแบบทุกแนว แบ่งประเภทเป็นชั้นๆ คนเล่นกีตาร์นี่มีร้องเสียงหลงในความละลานตา (ซึ่งตอนแรกคิดว่าเยอะแล้วนะ แต่มีเยอะหนักกว่านี้อีกที่ย่านขายเครื่องดนตรีโดยเฉพาะ Ochanomizu ไว้จะนำเสนอในวันหลังๆนะครับ)
เกมเซนเตอร์ของค่ายเซก้า เข้าไปเดินเล่นๆ มีตู้คีบตุ๊กตาสารพัดแบบที่คีบกันจริงจังเอาฟิกเกอร์โมเดลกันเลยทีเดียว ไม่ได้คีบแต่ของกิ๊กก๊อกแบบบ้านเรา บางตู้มีคีบผงแกงกะหรี่ด้วย เอากะเค้าสิ… มีตู้เกมส์จำพวก music game เจ๋งๆ ซึ่งรุ่นใหม่ๆก็มีเห็นในไทยเหมือนกัน เดินขึ้นชั้นบนเป็นพวก ปาจิงโกะ กับ สล๊อต ซึ่งเพี้ยนมาก มี Theme ทุกแบบ หนัง ไอดอล AKB48 การ์ตูน เกมส์ มีตั้งแต่ monster hunter ไปจนถึง the ring!? เพี้ยนหนัก…
ตึกขายเสื้อผ้ากระแสนิยม มีทั้งฝั่งผู้ชายและผู้หญิง สาวๆน่าจะสนใจ (ผมเคยเดินเจอตึก Shibuya19 ที่แถวๆประตูน้ำ คงเอาชื่อมาล้อเลียน ตลกดี) แต่ที่จริงผมมาเดินที่นี่เพื่อระลึกถึงตำแหน่งของสิ่งปลูกสร้างนี้ ตึกนี้แต่ก่อนเป็นที่ตั้งของ ร้านขาย CD ระดับตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่า Tower Records นั่นคือ “HMV” ในช่วงยุค ’90 นั้นวงการดนตรีเฟื่องฟูกว่านี้มาก (นี่ขนาดลดลงแล้วนะ)
HMV นั้นเป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษ และสาขาชิบุยะนั้นเป็นตึกที่ขายแผ่นที่ชิคที่สุด มีรสนิยมที่สุดในญี่ปุ่น มัก Selection แผ่นเพลงเจ๋งๆฮิพๆจากทั่วโลกมาขาย และที่สำคัญยังเป็นเหมือนฐานทัพใหญ่ที่สนับสนุนและขายแผ่นดนตรีอินดี้ทั้งญี่ปุ่นและต่างประเทศ และแน่นอนว่า เป็นผู้สนับสนุนดนตรีแนว Shibuya-kei อย่างเป็นทางการอีกด้วย
ปัจจุบัน HMV ปิดไปนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงหลายปีก่อน เพราะขาลงของวงการดนตรี เหลือไว้เพียงอนุสรณ์ความทรงจำ โดยมี Shibuya 109 มาเปิดกิจการแทนที่
(ใน Day หลังๆ ผมมาค้นพบว่า HMV ยังไม่ตาย และเพิ่งกลับมาเปิดใหม่ในเวลาไม่นานนี้เอง! แต่เปลี่ยนที่นิดหน่อย ขอยกยอดไปพูดถึงภายหลังนะครับ)
ที่นี่ล่ะ หายนะของจริงของคนรักดนตรี ร้านขาย CD และแผ่นเสียง ที่ใครๆก็รู้จัก แต่สาขานี้มันสุดจะแกรนด์ ถ้าจำสาขาที่เคยมาเปิดในไทยเป็นสิบปีก่อนได้ ที่นี่ใหญ่กว่าสัก ยี่สิบเท่าได้ครับ หาอะไรก็เจอ… มีทุกแนวทั่วโลกจริงๆ แต่ละชั้นแบ่งแยกแนวไว้เสร็จสรรพ มีทุกแนว แค่ชั้นเดียวก็โคตรเยอะละ นี่มีตั้งกี่ชั้น นอกจากซีดียังมีพวกหนังสือ นิตยสาร ดีวีดี เครื่องเล่นแผ่นเสียง คาเฟ่ ฯลฯ สารพัดสิ่งแวดล้อมของคนรักดนตรี ที่ชั้นหนังสือยังมีหมวดหนังสือเกี่ยวกับดนตรีแบบแบ่งแยกแนวโดยเฉพาะด้วย มีดิสเพลย์เกี่ยวกับดนตรี indie pop กับ Shibuya-kei โดยเฉพาะ
ที่ชั้นมีโบรชัวร์อีเว้นดนตรีเยอะมาก เป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่พยายามจะหาแหล่งดู live ของศิลปิน ผมหยิบมาแทบทุกเล่ม เป็นสิบๆเล่ม เพื่อมาหาดูพวกการแสดงดนตรี หรือเทศกาลดนตรีที่น่าสนใจ ซื้อนิตยสาร maquee เล่มใหม่ (เป็นนิตยสารของวงการ Shibuya-kei โดยเฉพาะ บางทีก็จะมีลามๆไปพวก Girl Band หรือ idol music ที่เป็นพวก indie บ้างพอประมาณ) และซื้อ cd มานิดหน่อย
ปล. เฉพาะที่นี่ที่เดียว เอาเวลาผมไปครึ่งวัน…
อีกหนึ่งตึกหายนะ ทั้งตึกอุดมไปด้วยสรรพสิ่งละลายทรัพย์
– ชั้นใต้ดิน เคยอ่านเจอแนะนำร้าน Mandarake ขายการ์ตูน กับสินค้าต่างๆ พอลงไปเจอจริงๆ นี่มันสวรรค์ของโอตาคุหญิงนี่หว่า… มีแต่การ์ตูนเกย์ เกือบกลับลำไม่ทัน…
– ชั้น 1 ร้านไทยากิ กรอบ อร่อย กินหลายครั้งละ
– ชั้น 2 ร้านเครื่องดนตรี อิชิบาชิ มิวสิค สาขาชิบุยะ ละลานตาอีกแล้วววววว มีทุกเครื่องดนตรี แต่ที่สะดุดตาสุดคือสารพัด Synth , Keyboard , software , hardware ต่างๆสวรรค์ชัดๆ อันตรายๆๆๆ ไม่อยากดูมาก เดี๋ยวตังค์หมดตั้งแต่วันแรก
– ชั้น 3 เป็นร้านโอตาคุซะงั้น มีแต่การ์ตูนหลายรูปแบบ โป๊ไม่โป๊ มีหมด
– ชั้น 4 ร้านขายซีดีและแผ่นเสียงมือสอง Recofan เป็นอีกสุดยอดร้านที่แนะนำ อลังการไม่แพ้กัน ชอบมีแรร์ไอเทมหลงมา ยังกะขุมทรัพย์ จะคุ้ยก็ใช้เวลาได้ทั้งวัน
– ชั้น 5 เป็น internet cafe + manga เปิด 24 ชม. สำหรับนั่งพักอ่านการ์ตูน หรือจะเช่าเวลาไว้นอนก็ได้
– ชั้น 6 เป็น J-pop cafe ดูหรูๆ ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกี่ยวอะไรกับ J-pop วันที่ผมไปดูมันปิดเพราะมีอีเว้นท์ส่วนตัวด้วย
เป็นห้างที่เน้นขายของสำหรับงานประดิษฐ์ งานทำมือ งานซ่อม ปรับปรุง แก้ไข งานอดิเรก ฯลฯ แต่จริงๆก็มีขายแทบทุกอย่าง มีหลายสาขาในญี่ปุ่นเช่นกัน จะข้ามไปเลยก้ได้นะ ถ้าไม่ได้เน้น ผมมาเดินที่นี่อีกทีในวันหลังๆ เพื่อหาซื้อของจำเป็นจุกจิกบางอย่าง อาทิเช่น พวกเครื่องเขียน
หายนะหลักๆอีกสองที่ ของทริปนี้ Book-off ขาย หนังสือ เกมส์ DVD CD มือสอง ส่วน Disc Union เน้นขายแต่ CD เพลงมือสอง มีของดีๆ rare item ซ่อนอยู่ในนี้เยอะมากกกกกก และราคาอย่างถูก นักสะสมทั้งแผ่นเพลง หนัง หนังสืือ เกมส์ ฯลฯ ทั้งหลายเป็นต้นเสร็จให้กับที่นี่กันหมด จริงๆแล้วทั้งสองร้านนี้มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น ยิ่งพวกย่านที่ไม่ฮิตมาก อาจจะได้เจอของแปลกๆที่หายากยิ่งกว่า เพราะคนไม่แย่งซื้อไปหมดอย่างพวกย่านดังๆ (ปล. ปัจจุบัน Book-off บางสาขาเปลี่ยนชื่อเป็น Yaku-off เพราะไปรวมตัวกับร้าน Yaku… อะไรสักอย่าง เป็นร้านประมูลของด้วย แต่ยังขายของมือสองเหมือนเดิม)
เป็นอีกร้านที่ดัง มีสาขาอื่นๆอีก เช่นที่ Shimo-Kitazawa มันเป็นร้านหนังสือที่มีคอนเสปคือ “ความน่าประหลาดใจ” ข้างในจะจัดดิสเพลย์สนุกมาก คือขายหนังสือพร้อมๆกับวางของแปลกๆ กิฟชอป น่าสนใจอย่างอื่นปนกันเหมือนเป็นป่าดงดิบ สรุปคือไม่ได้เดินดูหนังสือเลย มีแต่ซื้อของแปลกๆ หนุกๆ
จากการใช้เวลาสำรวจเมือง (ที่หมดไปกว่าครึ่งกับความตื่นตาตื่นใจในร้านแผ่น) และสังเกตคน ผมจำที่หนังสือบางเล่มบอกได้ว่า คนที่นี่หน้าตาดีกันหมด แทบไม่มีคนหน้าตาแย่อยู่เลย ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่จริง ผมสังเกตว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้หน้าตาดีทุกคน คนเฉลี่ยๆในระดับปกติก็มีเยอะ ก็เหมือนไทยและหลายๆที่ในโลกแหละ
หมดวันละ กลับมาบ้าน หมดพลัง อาบน้ำ ออกไปซื้อนมเซเว่นกิน นอน เตรียมลุยต่อ Day 3 กับ ศาลเจ้า Meiji-Jingu