“โอตาคุ” คำๆนี้ผมคิดว่า สมัยนี้ทุกคนคงเคยได้ยินกันหมด เมื่อพูดถึงคำว่าโอตาคุ แต่ละคนมักจะนึกเป็นภาพเดียวกันว่า หมายถึง ผู้ชายบ้าการ์ตูน บ้าเกมส์ ที่บุคลิกแย่ๆ หน่อย อ้วนแว่น (บางคนก็ผอมนะ) อาจจะมีสิวเขรอะ ไม่ค่อยดูแลตัวเอง แต่งตัวเชยๆ ไม่ค่อยสนใจเสื้อผ้าหน้าผม เพราะเอาแต่หมกมุ่นกับสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้ อย่างเกมส์กับการ์ตูน จนไม่ค่อยเข้าสังคม และปฎิสัมพันธ์กับสังคมปกติบิดเบือนไป ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการเหมารวม (Stereotype) ของบุคคลที่เป็นโอตาคุทั้งหมดทั้งสิ้น
ทุกอย่างมีสองความหมายเสมอ คือความหมายแบบเหมารวม กับความหมายจริงๆของมัน ซึ่งคือ “กลุ่มคนที่ลุ่มหลงคลั่งไคล้ในบางสิ่งบางอย่างอย่างมาก” โดยปกติจะใช้กับแฟนของการ์ตูน anime , manga หรือ video game แต่ที่จริงแล้วสามารถใช้กับอะไรก็ได้ที่บ้าอะไรอย่างหนึ่งมากๆ เช่น ถ้าบ้ารถไฟ ก็เรียก densha otaku บ้า สิ่งไหนก็ใส่คำขยายและต่อท้ายสิ่งนั้นด้วยคำนาม Otaku เข้าไปได้หมด
อย่างในกรณีของผม ถ้าจะเรียกกันจริงๆ ก็คงเป็น Music fan , Music geek หรือไม่ก็ Shibuya-kei Otaku หรือ Chiptune Otaku ก็น่าจะเข้าข่าย (เพราะบ้าหนักขนาดสะสมแผ่น ,ทำ blog ,สะสมทุกอย่างที่เกี่ยวกับดนตรีแนวนี้ ,ตามมาดูคอนเสิร์ตถึงญี่ปุ่น…. ทำกันขนาดนี้แหละ จะเรียกว่า โอตาคุ ชิบุยะเคย์ ก็โอเคครับ ไม่เถียง จะเรียกว่าอะไรก็ช่างเหอะ ๕๕๕)
ซึ่งก็มีหลายคำถามที่ขัดแย้งกันอีกว่า อ้าว? แล้วถ้าเกิดว่า ชอบสิ่งหนึ่งมากๆ แต่เป็นคนหน้าตาดี แต่งตัวปกติ สวยหล่อเท่ห์ ดูแลหุ่นให้ดูดี ดูแลตัวเองอยู่เสมอ และเข้ากับสังคมได้ปกติ นี่ถือว่าเป็นโอตาคุไหม? หรือว่าถ้าชอบอะไรมากๆ แต่ไม่ได้สะสมฟิกเกอร์ หรืออะไรเลย นี่เป็นไหม? ฯลฯ บลาๆ สารพัดคำถาม เอาเป็นว่า ชั่งแม่งเหอะ… คือผมไม่ได้มาวิจัยเรื่องโอตาคุ แต่เรากำลังจะพาไปเที่ยวย่านหนึ่งในญี่ปุ่นที่เป็นอาณาจักรของโอตาคุต้นฉบับกันนั่นคือ “Akihabara”
ผมว่าจะไม่เหมารวมแล้วนะ ว่าคนในย่านนี้ที่คลั่งไคล้ในการ์ตูน ต้องอ้วนแว่น และมีลักษณะแบบ “Original Otaku” (ขอเรียกว่าแบบนี้ละกัน เพื่อจำแนกจากโอตาคุประเภทอื่นที่มีความชอบเฉพาะทางแบบอื่นๆ แต่ไม่ได้มีลักษณะแบบนี้) แต่การมาเดินที่นี่ทำให้ผมรู้ว่า… แม่งมีจริงว่ะ เยอะด้วย… ไอ้ ออริจินัลโอตาคุเนี่ย… เพียบไปหมด
Akihabara นั้นเป็นเหมือนศูนย์กลางของโตเกียวฝั่งตะวันออก ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Shinjuku ที่อยู่ฝั่งตะวันตกพอดี สามารถเดินทางไปมาได้สะดวกเพราะมีรถไฟผ่านหลายสายมาก ทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนรถไฟที่สำคัญพอๆกับ Shinjuku หรือ Shibuya เลยทีเดียว ถึงจะบอกว่า Akiba (ชื่อย่อของ Akihabara) เป็นย่านเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เถอะ แต่กิจการแถวนี้ นอกจากขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้ากับอุปกรณ์คอมต่างๆแล้ว มันล้วนอุดมไปด้วยทุกอย่างที่เด็กวัยรุ่นชาย หรือโอตาคุชื่นชอบ อาทิ Game Center ,ร้านเกมส์ Console,ร้านการ์ตูน Animation , Manga , ร้านขายฟิกเกอร์ โมเดล ของเล่น, การ์ดเกมส์ , รูปภาพดารา AKB48, โรงละคร idol AKB48, กันดั้มคาเฟ่ , ร้านการ์ตูนที่ข้างในมีการ์ตูนทุกรูปแบบ การ์ตูนปกติของผู้ชาย, การ์ตูนปกติของผู้หญิง, การ์ตูน 18+ ของผู้ชาย, การ์ตูน 18+ ของผู้หญิง วางขายเรียงถัดกันไป หรือไม่ก็อยู่ในตึกเดียวกันห่างกันเพียงไม่กี่ชั้น , ร้านเช่าเวลาอ่านการ์ตูน เล่น internet (บางทีคนก็เช่าเวลาเพื่อนอนก็มี) , ร้านเช่าเวลาเพื่อดู DVD(โป๊) , ร้านขาย DVD หนัง AV , ร้าน sex shop, maid cafe ฯลฯ คือแม่งเยอะะะะะ ละลานตาไปหมด แล้วทุกร้านก็แถวนี้ก็จะเปิดเพลงแนวเดียวกันหมด เสียงร้องผู้หญิงแง้วๆ ล้วนๆ… ถึงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของที่นี่มามาก แต่การได้มาเจอความเยอะที่ประดังกันเข้ามาด้วยตัวเองแล้วมันรู้สึกอึนนนนนมากกกก
เนื่องจากตัวผมเองเป็นแค่โอตาคุกลายพันธุ์กระจอกๆคนนึง ไม่ใช่ตัวจริงอย่างพี่ๆ Original Otaku ทั้งหลาย ที่คงรู้จริงมากกว่าผมแน่นอน จึงขอคัดเฉพาะสิ่งน่าสนใจ ในมุมมองของ Music Otaku คนหนึ่งอย่างผมมานำเสนอกันนะครับ ขอเล่าเรื่องด้วยภาพละกันนะครับ (ปล. ส่วนมากห้ามถ่ายรูปด้านใน ก็เลยถ่ายมาได้แต่ด้านนอก)
ห้างดังที่มีขนาดใหญ่มาก ข้างในมีของแทบทุกอย่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ต่างๆ กระป๋งกระเป๋า, ของเล่น , เกมส์ ฯลฯ ให้อารมณ์คล้ายๆ ฟอร์จูนบ้านเรา แต่อลังการกว่าเยอะ แค่ไอ้ของจากห้างนี้แค่ตึกเดียวความหลากหลายก็เยอะกว่าของบ้านเราทั้งประเทศละมั้ง ข้างในห้างมีประกาศจากพนักงานเป็นภาษาไทยด้วย แสดงว่าคนไทยมาที่นี่กันเยอะจริงๆ
อัตราความเข้มข้นและจริงจัง ในการเล่นเกมส์ของที่นี่แตกต่างกับที่ชิบุยะมากครับ… คือมากกว่าทั้งจำนวนความหลากหลายของเกมส์ และความจริงจังของคนเล่น มีตู้เกมส์แปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นเพียบ และคนเล่นก็เล่นกันแบบโคตรจริงจัง มีทุกแนว ทั้งแต่ คีบตุ๊กตา , เกมส์ต่อสู้ , หุ่นยนต์ , ฟุตบอล , เกมส์ดนตรี ฯลฯ พวกปีศาจตู้เกมส์ทั้งหลายก็สิงสถิตกันแถวนี้แหละ…
ว่าด้วยเรื่อง Maid Cafe ที่หลายๆคนคงเคยได้ยิน ที่เข้าไปจะมีพนักงานสาวสวยแต่งตัวเป็นสาวใช้ คอยบริการ แล้วเรียกลูกค้าว่านายท่านๆ มีเสกคาถาใส่อาหาร ฯลฯ ปัญญาอ่อนกันไปตามเรื่องตามราว โดย Maid Cafe ที่ดังๆ จนมาเปิดสาขาถึงไทยก็มี แต่พอมาถึงนี่เลยได้เห็นอะไรแปลกๆกว่านั้น คือ แค่ Maid Cafe มันธรรมดาไปเลย เมื่อต้องมาเจอกับ คาเฟ่ประเภทเดียวกัน แต่แยกย่อยไปเป็น Theme อย่างอื่น อาทิ คุณหมอคาเฟ่ ตำรวจคาเฟ่ ทหารคาเฟ่ แม่มดคาเฟ่ มิโกะ(คนทรง)คาเฟ่… ฯลฯ สารพัดคอสตูมที่เป็นร้านแยกย่อยเฉพาะทางเพื่อตอบสนองคนทุกกลุ่ม ปกติผมไม่ได้อินอะไรเมดคาเฟ่เลย ไม่รู้จะเสียตังค์แพงๆเข้าไปทำไม แต่ที่สะกิดต่อมทำให้ผมอยากเข้าจริงๆ คืออันนี้เลยครับ นินจาคาเฟ่… โอ้ยยยยยยย!!! นี่จะสรรหามาสนองความต้องการคนให้ได้ครบทุกแบบจริงๆใช่มั้ยเนี่ย!?
ไอ้ sex shop ที่ขาย sex toy หรือ DVD หนัง AV ไรงี้ก็ยังรู้สึกว่าปกติ เฉยๆนะ แต่ไอ้ร้านแบบนี้มันช่างยั่วยวนความอยากรู้อยากเห็นซะจริง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายากจะจินตนาการถึง และพอได้มาเห็นก็…. บางทีมันก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดีอ่ะนะ บางร้านนี่พอขึ้นถึงชั้นบนสุด เปิดลิฟต์ปั๊บ ภาพที่เห็นทำผมถึงกับอึ้ง…. สตั๊นไป 10 วิ จนลิฟต์ปิด ลืมถ่ายรูปไปเลย… (ด้วยความที่ ที่นี่ไม่ใช่ blog เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ เดี๋ยวจะผิดจุดประสงค์ ขอละไว้ละกันครับ ใครอยากรู้ว่าเป็นยังไง ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองละกันนะครับ ยากจะบรรยายจริงๆ…)
หนึ่งในร้านโปรดของทริปนี้ เป็นร้านเฉพาะทางของคนชอบ Retro Game เกมส์เก่าๆ หรือวัฒนธรรม 8 bits ในที่สุดก็เจอสวรรค์ของฉันนนนน ว้ากกกก! ที่นี่มันเต็มไปด้วย ขนม ของเล่น ของสะสม รวมไปถึงเครื่องเกมส์เก่าแบบ Original ย้อนยุค มีแทบทุกเครื่อง ทุกเกมส์ ของสะสม theme 8 bits จำพวก Mario, Rockman ,Contra , Pacman , Dragon Quest , Final Fantasy , ฯลฯ ทุกอย่างที่เอาใจเกมเมอร์ยุค ’90 อะไรพวกนี้เต็มไปหมด สะใจจริงๆ ขอแนะนำเลยครับว่าคนสายนี้ ต้องมาให้ได้สักครั้ง
สองร้านนี้แตกไลน์ย่อยมาจาก BOOK OFF อีกที คือขายของมือสอง โดย HOBBY OFF จะเน้นเครื่องใช้ไฟฟ้าจำพวก PC กับฟิกเกอร์โมเดลต่างๆ ส่วน HARD OFF จะเป็นของชิ้นใหญ่ๆหลายอย่างมาก อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ของแบรนด์เนม รวมไปถึงเครื่องดนตรี ซึ่งมีไม่ใช่น้อยๆเลยนะ และราคานี่ถ้าเห็นต้องบอกคำเดียวว่าตาลุกวาวแน่ๆ ท่ามกลางร้านรวงมหาศาลที่แม่งแพงทุกร้าน ถ้ามีเงินจำกัด ก่อนจะเสียเงินกับที่อื่นอยากให้ลองแวะมาหาของในร้านพวกนี้ก่อน บางทีอาจจะเจอขุมทรัพย์อยู่ในนี้ก็เป็นได้ (ปล. ในย่านอื่นของโตเกียวก็มี HARD OFF เช่นกัน แต่มีสาขาน้อยกว่า BOOK OFF มากนัก ถ้ามีเวลาและอยากเน้นตามหาของมือสองราคาถูก แนะนำให้ลองไปเดินที่สาขาอื่นด้วยก็ได้ครับ)
ร้านนี้ทำผมเจ็บครับ T-T มันเป็นร้านขายของมือสองอีกร้านที่เจ๋งมากกกกกก คือมีขายพวกอุปกรณ์ PC,Mac และที่สำคัญ มีพวกเครื่องดนตรีที่เน้นประเภท Keyboard Synthesizer ด้วย ผมมาค้นเจอที่นี่ช้าไปไม่กี่วันหลังจากสอย เครื่องดนตรี เป็นซินท์ฯ รุ่น TE OP-1 ไปแล้วในราคาเต็ม (ซึ่งที่นี่ขายเพียงครึ่งราคา ในสภาพโคตรดี…) ไอ้บ้าเอ้ยยยยย T___T แล้วร้านแม่งก็หายากสัด เสือกมาอยู่ในย่านอะไรโอตาคุ ไม่ได้เกี่ยวกันเล้ยยยย ด้านล่านดันเป็น Shop ของ Apple ชื่อ Mac Collection ซะงั้น แล้วใครจะไปรู้วะว่าด้านบนมีโคตรขุมทรัพย์อยู่ ของร้านนี้มาไวไปไวครับ ถ้าเจออะไรเด็ดๆ แนะนำให้ช้อนไปเลย อย่าช้า ของมือสองญี่ปุ่นสภาพค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว
อย่างที่บอกไปว่า ร้านรวงแถวนี้ ไม่ว่าจะเข้าร้านไหน จะได้ยินดนตรีประเภทเดียวกันหมด แทบจะ 100% นั่นคือ “Idol Music” และ “Anime Music” คือดนตรีที่เน้นขายความน่ารักโมเอะ (ศัพท์โอตาคุ ที่เอาไว้เรียกไอดอลหรือตัวละครที่น่ารักๆ) ของหน้าตานักร้อง วงนึงมีตั้งแต่เป็นศิลปินเดี่ยวไปจนถึงมีเป็นสิบๆคน อย่างพวก Morning Musume หรือ AKB48 ซึ่งวงการเพลงไอดอลของญี่ปุ่นนั้นถือว่า ใหญ่สุดในโลก มีไอดอลเป็นร้อยๆพันๆ ทั้งค่ายใหญ่ เมนสตรีม ค่ายเล็ก อินดี้ มีหมด แถมยังแตกแขนงไปเพื่อจะครอบคลุมรสนิยมของแฟนคลับให้ได้ทั่วถึงทุกกลุ่มด้วย จึงเกิดเป็นไอดอลแนวแปลกๆ มากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน ส่วน Anime Music ก็คือเพลงจากการ์ตูนอนิเมะต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแนวใกล้ๆเคียงกับ Idol Music คือเป็นผู้หญิงร้อง เสียงแง้วๆ ดนตรีใกล้เคียงกันอยู่ดี ที่อากิบะนี่จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของ Idol Music ในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
AKB48 นั้นถือได้ว่าเป็น idol music กรุ๊ปที่ใหญ่ที่สุด ทั้งในแง่ของจำนวนคน และจำนวนฐานผู้ฟังเพลง ถ้าเทียบกับค่ายน้องใหม่อย่าง Asobi System ที่เน้นส่งออกวัฒนธรรมแฟชั่นฮาราจุกุแล้ว AKB48 ดูจะเน้นตลาดในประเทศมากกว่ามาก ความนิยมของ AKB48 ของคนญี่ปุ่นนั้นมหาศาลและฝังรากลึกลงไปในแทบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวัน แทบทุกสินค้าและบริการจะต้องมี AKB48 เข้าไปเกี่ยวด้วยเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ปาจิงโกะ! (ซึ่งมันเกี่ยวกันตรงไหนก็ไม่ทราบ…) ความป๊อปปูล่าของกลุ่มไอดอลกลุ่มนี้มีมากถึงขนาดที่ว่ายึดครองพื้นที่สื่อไปแทบค่อนของทั้งหมด จนเรียกได้ว่า เปิดทีวีญี่ปุ่นมาเวลาไหน ยังไงก็ต้องเจอ AKB48 และที่อากิบะนี้เองก็เป็นเหมือนฐานทัพใหญ่ของ Idol Music โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AKB48 นี้เอง ที่มีโรงละคร Theater และ Cafe ของตัวเอง ตั้งอยู่ที่นี่ เป็นเหมือนแดนศักสิทธิ์ที่เหล่าแฟนๆของวงนี้ควรจะต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต
ด้วยขนาดของวงการดนตรีที่มันใหญ่มาก แม้จะเป็นดนตรีไอดอลก็ตาม ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “อินดี้” หรือการที่เป็นศิลปินทำกันเองเล็กๆ หรือค่ายเล็กๆ ที่ไม่ได้มีแรงเงินโปรโมทมากมายแบบค่ายใหญ่ ผมพบว่า ไอดอลที่นั่นทำงานกันหนัก ต้องแข่งขันกันเหมือนเป็นพนักงานบริษัทก็ไม่ปาน บางทีต้องมาเล่น มาร้องข้างถนน หรือไม่ก็แจกใบปลิวให้คนมาดูงานอีเว้นท์ของตน คือไม่ได้มีชีวิตที่หรูหราไฮโซ เป็นดาราที่แยกตัวจากคนปกติ อย่างที่ภาพลักษณ์ของไอดอลใน หลายๆประเทศเป็น แต่ต้องพยายามดิ้นรน ปากกัดตีนถีบมากกว่าที่คิดนัก
ระหว่างทางกลับ ผมเจอโคตร Original Otaku กลุ่มนึงที่โดดเด่นมาก เพราะการแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์… (เชิญดูจากภาพประกอบ) เจ้าตัวดูยินดีมากที่จะให้คนถ่ายรูป ผมไม่รู้จักว่าตัวละครที่อยู่บนเสื้อผ้าของพวกเขาคือตัวละคร มาจากเรื่องอะไรหรอก แต่ที่สัมผัสได้คือ คนอื่นอาจจะมีคนมองพวกเขาว่าบ้า หรือน่าอาย แต่พวกเขายังยิ้มแย้ม เป็นมิตร และดูภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น อย่างน้อยความชอบของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และอีกอย่างหนึ่งคือ เขาเป็นผู้มีคุนูปการกับวงการอย่างมากในฐานะ “ผู้สนับสนุนตัวจริง” ให้กับทุกงานที่พวกเขาชื่นชอบ ถ้าพวกเขาชอบอะไร ก็จะรักกันจริง และคอยสนับสนุนผลงานกันไปจนตาย ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ วงการการ์ตูน เกมส์ ไอดอล จนลามไปถึงศิลปะกับดนตรีในญี่ปุ่นคงจะอยู่ไม่ได้ และไม่แข็งแรงในแบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมีคนดูถูกพวกเขาจะเป็นยังไงก็ตาม แต่ผมว่ามันก็ยังดีกว่า พวกกาฝากสังคม คนที่ชอบขโมยผลงานคนอื่นไปก๊อปปี้ ไปเสพย์ฟรีๆ แล้วก็มาหาว่าคนซื้อของแท้โง่ โดยไม่มีสำนึกเลยสักนิดว่า สิ่งที่ทำอยู่มันผิด ดีกว่า พวกไม่มีจิตสำนึกของการไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่เลยสักนิดเดียวในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ละกัน
“ถึงโอตาคุทั้งหลาย พวกนายนี่แหละ ฮีโร่ตัวจริงของเหล่าศิลปิน T-T ขอบคุณมากๆนะ”
ตอนหน้าเตรียมพบกับ Day 6 : Shinjuku lose control