ถาม : ทำไมต้อง lose control?
ตอบ : ล้อชื่อเพลง Shinshoku lose control ของวง J-rock ชื่อดังระดับโลกอย่าง L’Arc-en-Ciel
ถาม : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชินจุกุ?
ตอบ : มันเกี่ยวกับการยับยั้งชั่งใจน่ะ… อ่านๆ ไป… เดี๋ยวรู้
ตื่นมาออกจากบ้าน เริ่มเดินทางด้วยการเดิน ตอนแรกนอยว่าจะไป Square Enix Bar ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางจากโยโยงิไปชินจุกุ ฝนดันตกเลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูป แล้วหาไม่เจอเพราะ ปรากฎว่า Square Enix บาร์นั้นได้ปิดไปแล้วอีก… ย้ายไปไหนไม่รู้
ก่อนจะเริ่มสำรวจย่านนี้กัน นอยพามากินร้านข้าวต้มชาญี่ปุ่นในห้าง Lumine อร่อยมากกกกก มันเป็นข้าวใส่พวกหน้าต่างๆ เช่น กุ้งทอด หอยทอด แล้วราดด้วยน้ำชา กินเป็นเซต ราคา 700-1000 เยน ราคาโอเคเลยทีเดียวถ้าเทียบกับคุณภาพ
ชินจุกุนั้นมีอาณาเขตติดกับฮาราจุกุอีกที เราสามารถเดินต่อกันได้เลยจาก ชิบุยะ-ฮาราจุกุ-ชินจุกุ โดยใช้เวลาไม่นานมาก (ประมาณ 1-2 ชม.) สาเหตุที่คนมารวมตัวกันที่นี่เยอะจนเกิดเป็นย่านชอปปิ้งขนาดใหญ่ นั่นคือ มันเป็นท่ารถ และจุดเปลี่ยนสายรถไฟที่สำคัญมาก รถไฟหลายสายตัดผ่านที่นี่ จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางในการเดินทางทั้งในโตเกียวฝั่งตะวันตก และศูนย์กลางการเดินทางออกนอกต่างจังหวัดด้วย ที่หน้าสถานีก็ชอบใช้เป็นจุดนัดพบของคนทุกวัย และแน่นอนรวมถึงวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วย (แต่ผมคิดว่านักท่องเที่ยวนี่แหละเยอะกว่ามาก)
ชินจุกุเป็นย่านที่คล้ายชิบุย่า คือเป็นย่านที่มีทุกอย่าง แล้วมันต่างกันตรงไหนฟะ? ผมคิดว่า ชิบุยะนั้นเหมือนจุดศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในอัตราส่วนเท่าๆกัน ยัดแน่นอยู่กระจุกกันตรงกลางที่แสนยุ่งเหยิงซับซ้อน แต่ชินจุกุเป็นเมืองที่เกิดทีหลัง การวางผังเมืองเลยทำได้ดีกว่า ไม่อัดแน่นเท่า เพราะพื้นที่เยอะกว่า จึงแบ่งทุกอย่างเป็นสัดส่วนๆ เป็นบล้อกๆเข้าใจง่ายกว่า และมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า (เพราะมันเต็มไปด้วยที่เที่ยวโลกีย์ทั้งของผู้ชายและผู้หญิงในตอนกลางคืน) ด้านตะวันตกจะเป็นพวกตึกออฟฟิส และย่านที่อยู่คน ด้านตะวันออกเป็นย่านการค้าและที่ชอปปิ้ง ส่วนด้านเหนือที่เรียกว่า “คาบุกิโจ” จะอุดมไปด้วยผับ บาร์ ที่เที่ยวกลางคืนต่างๆ โดยจะมี element แบบวัยรุ่นโอตาคุน้อยกว่าที่ชิบุยะ ถ้าเปรียบชิบุยะเป็นคน ก็คงเป็นวัยรุ่นตั้งแต่ มัธยมถึงมหาลัย แต่ชินจุกุ จะเป็นคนวัยทำงานตอนต้น ที่มีวุฒิภาวะมากกว่า
คนที่มาที่นี่ หลายคนที่อาจจะเพราะ ไม่ชอบความแออัดและยุ่งเหยิงของชิบุยะ จึงเลือกที่จะมาชอปปิ้งซื้อของที่นี่ ซึ่งก็มีของไม่ได้ต่างกันมากมาย เพียงแต่ที่นี่ไม่ได้มี landmark ที่เก่าแก่และโดดเด่นเท่าชิบุยะ อย่างพวก ห้าแยกฯ หรือรูปปั้นหมาฮาจิโกะ ฯลฯ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว แล้วมีเวลาน้อย ผมคิดว่ายังไงชิบุยะก็มีภาษีดีกว่า
อย่างที่บอกไปว่า มันก็มีทุกๆอย่างเหมือนชิบุยะน่ะแหละ… แต่ก็มีร้านหรือ Landmark บางอย่างที่เป็นเหตุผลที่ทำให้บางคนอาจจะทำให้อยากมาที่นี่ ก็เป็นได้ มาเริ่มกันเลย
เกมส์เซนเตอร์ที่นี่ อย่าง Taito นั้นมีคนเล่นกันจริงจังไม่แพ้ อากิบะ ซึ่งแน่นอนว่าเข้มข้นกว่าแถว ชิบุยะ แต่จากการสังเกตุนั้น กลุ่มเป้าหมายของที่นี่จะโตกว่าอากิบะ และเน้นเกมส์ที่แนวเอาใจโอตาคุน้อยกว่า พวกเกมส์แนวที่ต้องใช้การฝึกฝน ใช้ฝีมือเข้าห้ำหั่นกันอย่างเกมส์ไฟติ้งนั้นดูจะเจริญรุ่งเรืองในย่านนี้ ตู้เกมส์อาเขต Street Fighter 4 ภาคใหม่ล่าสุดมีเพียบ เป็นตู้พิเศษที่เป็นแปดตู้ติดหันหน้าเข้าหากัน สองแถวแถวละสี่ตู้ โดยจะแรนด้อมคู่ต่อสู้อีกด้านมาสู้กัน เราจะไม่รู้ว่าจะได้สู้กับใครในอีกสี่ตู้อีกด้าน สนุกตื่นเต้นจริงๆ
นอกจากนี้ Taito สาขาชินจุกุนี้เองที่นอยบอกว่า เป็นที่ๆ เทพเกมส์สตรีทไฟเตอร์ “ไดโกะ อุเมะฮาร่า” มาเล่นเป็นประจำ (เขาเป็นนักเล่นเกมส์ Street Fighter ที่ดังที่สุดในโลก อยากรู้รายละเอียดเพิ่ม ลองเสิร์ซหาชื่อ Daigo Umehara เลยครับ เจอเพียบ) ใครที่อยากเจอไดโกะตัวเป็นๆ แนะนำให้ลองแวะมาที่นี่ครับ ถ้าโชคดี อาจจะเห็นไดโกะกำลังซัดโชริวเคนใส่คนแถวนั้นอยู่ คนมุงดูกันเพียบ น่าจะได้บรรยากาศสุดๆ
สุดยอดร้านแผ่นมือสอง อย่าง disc union สาขาที่ชินจุกุนั้นน่าสนใจมาก โดยจะแบ่งแยกย่อยเป็นหลายๆตึก หลายๆห้อง หลายๆชั้น แยกกระจัดกระจายกันอยู่ โดยแต่ละตึกนั้นแบ่งแยกแนวเพลงไว้ครบถ้วนอีกต่างหาก บางจุดเป็น Club music ล้วนๆ บางจุดเป็นเพลง Enka (เพลงลูกทุ่งญี่ปุ่น) ล้วนๆก็มีนะ สะใจสายเฉพาะทาง คุ้ยแผ่นกันสะใจกันไปเล้ยยยย (ปล. ผมเสียทรัพย์และเวลาให้กับที่นี่ไปเพียบอีกแล้ว..)
เป็นห้างสำหรับผู้ชายที่ดีสุดในญี่ปุ่น ใหญ่ที่สุด และมีทุกอย่างสากเบือยันเรือรบ สารภาพว่าผมไม่ได้เข้าไปหรอก แต่อันนี้นอย ผู้อยู่โตเกียวมาห้าปียืนยันและแนะนำมา เป็นข้อมูลสำหรับใครที่จะมาชอปปิ้งแล้วอาจหาบางอย่างไม่เจอ มาลองเดินที่นี่ได้
อีกหนึ่งสุดยอดสถานที่สุดอันตราย (ต่อกระเป๋าตังค์) ที่จริงมันคือตึก Picadeli อะไรสักอย่าง ชั้นบนสุดจะเป็นโรงหนัง ชั้นล่างมีรูปปั้นกัปปะแปลกๆ… แต่ชั้นอื่นๆ คือของมูจิล้วนๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ใครๆก็คงรู้จักกิตติศัพท์แบรนด์นี้กันอยู่แล้วว่า ของสวยๆเรียบๆเก๋ๆ ของมัน มีทำเป็นโปรดักส์แทบทุกอย่างในโลก ตั้งแต่ไม้ปั่นหู ยันลำโพง ยันจักรยาน ยันบ้านจัดสรร… ฯลฯ จริงอยู่ว่ามูจิในโตเกียว หาที่ไหนก็มี แต่ถ้าเป็นสาวกมูจิ อยากมาเสพย์ความอลังการ ก็แนะนำที่นี่แหละ ระวังจะหมดตัวนะ
มันคือตึกที่เป็นการรวมกันระหว่างแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง Uniqlo และ Big Camera ของที่ขายก็เลยยิ่งทวีคูณความเยอะไปใหญ่ แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของที่นี่คือ จะมี App ชื่อ UT me ให้โหลดฟรี เพื่อทำลวดลาย ทำเป็นเสื้อในแบบของตัวเอง แล้วส่งข้อมูลให้พนักงานสกรีนได้เดี๋ยวนั้นเลย เจ๋งดี เป็น Exclusive มีแค่สาขานี้เท่านั้น ซึ่งผมใช้เวลากับที่นี่เพียง 10 นาที… ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกประตูไปอย่างไม่หวนกลับมาเลย… เพราะที่นี่มันอันตรายเกินไปสำหรับทริปดนตรีในครั้งนี้ ที่ไม่ได้มีงบจะมาเสียตังค์ให้กับเสื้อผ้า ต้องใจแข็ง หักห้ามใจๆๆๆๆ
ร้านหนังสือ คิโนะคุนิยะ ที่เราคุ้นเคยกันดีในไทย ที่นี่มาเป็นตึกเลยครับ… มีเกือบสิบชั้น ตามสไตล์ญี่ปุ่นที่แต่ละชั้นจะมีแบ่งประเภทแยกแนวของสินค้าไว้อย่างละเอียด ถ้าใครอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ ที่นี่คงเป็นสวรรค์ล่ะ หาอะไรก็เจอ มีชั้นที่เป็นหนังสือต่างประเทศภาษาอังกฤษโดยเฉพาะด้วย ผมไปหาหนังสือเกี่ยวกับดนตรี และ Music Score ของเพลงเกมส์ หรือวงดนตรีต่างๆ ก็มีเจอเพียบเลย เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครที่อยากมาค้นหาของ rare บางอย่างที่ญี่ปุ่น
ร้านอาหารที่มี Theme เป็นเกมส์จากค่าย Capcom
หลายๆคนคงคุ้นเคยกับค่ายเกมส์ญี่ปุ่นจากยุค ’90 อย่าง Nintendo ที่ทำ Mario หรือ Square Enix ที่ทำ Final Fantasy แต่ส่วนตัวผมเองแล้ว Capcom เป็นค่ายที่ผมอินที่สุด โดย concept เกมส์ของค่ายนี้คือมักจะทำเกมส์ที่ “ท้าทายความสามารถ” ผู้เล่น และหลายๆ เกมส์มักจะดูดกินเวลาในการฝึกฝนจริงจัง เพื่อให้มีฝีมือเพียงพอจะเก่งสู้คนอื่นได้ (อาทิเช่น Rockman , Street Fighter , Resident Evil , Monster Hunter โอย แต่ละเกมส์ดูดเวลาทั้งนั้น) ตั้งแต่เด็กจนโต ชีวิตนี้เสียเงินกับเวลาให้กับไอ้ค่ายบ้านี่ไปไม่รู้เท่าไรแล้ว เลยต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้สักครั้ง…
และแล้วก็เดินหาจนเจอ Capcom Bar จนได้ มันอยู่ด้านเหนือ ตรงแถว คาบุกิโจ นี่เอง จริงๆแล้วมันเป็นร้านอาหารที่ทำร่วมกับร้าน Pasela ซึ่งนอยบอกว่า มันโคตรจะไม่อร่อยเลย แต่ผมไม่สนคำเตือน… ไหนๆมาขนาดนี้แล้วมันต้องลอง เข้าไปบรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยพวกเกมส์กับฟิกเกอร์โมเดลจากค่าย Capcom จำพวก Rockman, Street Fighter อะไรพวกนี้ เมนูอาหารก็มีแต่ชื่อแปลกๆมาจากเกมส์ของค่าย ผมสั่งน้ำชื่อ “ฮาโดเคนของริว” (ท่าปล่อยพลังใน Street Fighter) กับ “สมองของลิกเกอร์” (ชื่อสัตว์ประหลาดลิ้นยาวใน Resident Evil)
พอน้ำมาเสิร์ฟ พนักงานตะโกน ฮาโดเคน! อย่างฮา คนฮากันทั้งร้าน (ตอนคนอาหารอย่างอื่น ก็จะมีกิมมิคประมาณนี้ทุกอย่าง เช่น Monster Hunter ก็มีเพลงตอนย่างเนื้อเปิด เหมือนในเกมส์ กับพนักงานบทพูดเหมือนในเกมส์เป๊ะ ฮาาาา) คิดไปคิดมามันก็เหมือนกับที่พวกโอตาคุที่ชอบไปเมดคาเฟ่ คงอารมณ์เดียวกัน แต่ผมอินกะแบบนี้มากกว่า
แล้วไอ้เมนูพวกนี้ พอกินแล้วแบบว่า.. รสชาติรู้สึกเหมือนโดนฮาโดเคนของริวจริงๆ… อึกแรกนี่มึน ติด stun ไป 8 วิ… ส่วนสมองลิกเกอร์ ก็โคตรไม่อร่อย รู้สึกแหยงๆ แบบหวานเลี่ยน ช่างสมจริง จริงๆ… ( ภายหลังมาพบว่า ไอ้ร้าน Pasela นี่ทำร้านที่ Co กับพวกค่ายเกมส์อีกหลายร้าน อาทิ เช่น Luida’s Bar ที่เป็น theme เกมส์ Dragon Quest เอิ่ม… นี่เข้าใจคิดพลิกวิกฤติร้านอาหารไม่อร่อยให้เป็นโอกาสนะ )
สุดยอดย่านชื่อดังแห่งคาวโลกีย์ มันคือด้านส่วนบนของ Shinjuku ที่เพียงแค่ข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง ท่านก็จะพบกับโลกแห่งโลกีย์อบายมุก ในตอนกลางคืนที่นี่จะคึกคักมาก อุดมไปด้วยที่เที่ยวกลางคืนทุกรูปแบบ ทั้งติดเรทและไม่ติดเรท ผับ บาร์ คลับ เล้าจ์น คาราโอเกะ 18+ ที่เที่ยวทั้งสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง บาร์โฮสอะไรอีกตูม
ที่นี่คือ Red Light District หรือย่าน “โคมแดง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องการ Scam หรือต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว คือจะมีผู้ชายยืนอยู่ตามถนนหนทาง (อาจจะเป็นยากูซ่า) คอยถามว่า “มองหาอะไรอยู่เหรอพี่ชาย?” , “เซ็ก-กุ-สึ?” (Sex) บางทีก็จะเป็นคนต่างชาติ ผิวคล้ำ พวกนี้จะเน้นหาเหยื่อที่เป็นนักท่องเที่ยว เดินสะพายกล้อง ดูโง่ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว (กูเลยนี่หว่า) จะว่าน่ากลัวก็ใช่ แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราปฎิเสธซะอย่าง ยังไงก็ปลอดภัยครับ เค้าทำอะไรเราไม่ได้
มีประสบการณ์จากคนใกล้ตัวผม ที่เคยโดนบทเรียนราคาแพงมาแล้ว คือดันไปตอบรับคำเชื้อเชิญของพี่ๆพวกนี้ ตอนแรกตกลงไว้ราคานึง (ไม่กี่พันบาท) แล้วมีคนพาเข้าไปในร้าน มีเด็กมานั่งดริ๊งค์ มันก็คล้ายๆคาราโอเกะหัวแตกบ้านเรานี่แหละ พอนั่งๆไปสักพัก บอกว่า ถ้าจะ… (ออฟเด็ก) ต้องเสียเพิ่มอีกเท่านี้ (หลักหมื่นเหยียบแสนบาท) ช๊อค! เลยจะออกจากร้าน พอจะออกก็ปรากฎว่าไม่ให้ออกอีก มีชายหนุ่มกำยำมาขวางทางออกไว้ แล้วถามประมาณว่า “มีปัญหาอะไรเหรอ?” เรื่องต่อจากนั้น ค่อนข้างโหดร้าย T-T ขอไม่เล่ารายละเอียดมากกว่านี้ละกันครับ แต่สรุปว่า กว่าจะออกจากที่นั่นโดยปลอดภัยได้ ก็เสียเงินไปเท่าๆกับค่า ออฟเด็กน่ะแหละ โดยไม่ได้ออฟด้วย… อวสานนนนนน
นี่แหละครับ คงเป็นเหตุผลและที่มาของชื่อเพลง Shinjuku Lose Control… ถุ้ยยยย! เพลงเค้าชื่อ Shinshoku Lose Control ต่างหาก! มันคนละคำกัน! (Shinshoku นั้นคือ นักบวชของนิกายชินโตประเภทหนึ่ง)
คาบูกิโจ นั้นเต็มไปด้วยป้ายยั่วยวนหน้าร้าน 18+ ทั้งหลาย ที่ล่อให้เราไปค้นหา ซึ่งสิ่งยั่วยุพวกนี้แหละ มันพาลจะทำให้เรา lose control แนะนำให้ทำใจดีๆไว้ครับ อย่าเสียการควบคุมตัวเอง เสียเป็นแสนแขนสาวญี่ปุ่นยังไม่ได้จับ เผลอๆนิ้วก้อยจะหาย หรือไม่ก็โดนยากูซ่าจับถ่วงน้ำ ไม่ได้กลับประเทศอีก หรือถ้าใครคิดว่าอยากลองประสบการณ์แปลกใหม่ เพื่อให้ “ถึง” ชินจุกุ จริงๆ จะลองก็ได้ไม่ว่ากัน อิอิ
เช่นเดียวกับสะพานตรง Harajuku ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่ ศิลปินอินดี้นิยมมาเล่นดนตรีให้ดูกันฟรีๆ มันมีทุกแนวจริงๆ เจอบางคน ร้องเพลง cover อุทาดะ ฮิคารุ ก็มีบางคนมาถ่ายเอมวีซะงั้น บางคนเล่น เสียง noise ทำลายโสตประสาทแบบสุดโต่ง บางคนก็แสดงมายากล หรืออะไรแปลกๆที่นอกเหนือไปจากดนตรี
แต่คนที่ผมสะดุดตาที่สุดคือ คนๆนี้ครับ “YOKOTA HIROYUKI”
เป็นศิลปินที่เจ๋งมาก เล่น Saxophone Jazz และมิกซ์เพลงแบบ DJ ในคนๆเดียว เป็นศิลปินโซโล่เดี่ยวที่มีส่วนผสมที่ลงตัวมาก และความสามารถก็เยี่ยมมาก Saxophone Jazz ที่เขาเป่านี่ไม่ใช่ขี้ๆเลย ฟังดูก็รู้ว่าฝึกฝนในสาย Jazz มาอย่างโชกโชน มีการใช้เอฟเฟคเข้ามาร่วมด้วย และการมิกซ์เพลงในแบบ DJ ของเขาก็ไม่ใช่กระจอกๆ (ลำพังการฝึกสกิลเพียงแค่อย่างเดียวมันก็ยากพอดูอยู่แล้ว นี่ทำได้สองอย่างในคนๆเดียว อะไรจะเก่งขนาดนั้น) เพลงก็เพราะมาก ผมคิดว่าเขามาถูกทางมากๆ ที่จริงดนตรีที่ผสมระหว่าง Jazz กับ House Music นั้นก็มีมานานแล้ว แต่ไอเดียในการเล่นสดให้ดูจะๆ ด้วยตัวคนเดียวอย่างคาดไม่ถึงนั้นมันเยี่ยมจริงๆ เป็นหนึ่งในสิ่งที่คุ้มค่ามากที่ได้ดูที่ญี่ปุ่น
ผมไม่สามารถละสายตาไปจากการแสดงของเขาได้เลย ตอนแรกว่าจะกลับนานละ แต่แล้วก็ยืนดูอยู่เป็น ชม. ฝรั่งมายืนมุงกันตูม สุดท้ายก็ยอมศิโรราบให้กับยอดฝีมือ ซื้อแผ่นมาจนได้ T-T ร้องไห้ดีใจที่ได้สนับสนุนนะ
YOKOTA HIROYUKI แม่งเก่งสัตว์ๆ การแสดงของเขานั้นเติมเต็มทำให้ผมอิ่มเอมมากกับทริปชินจุกุในวันนี้ ระหว่างเดินกลับบ้าน ไม่รู้ว่าดวงจันทร์ที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆทะมึนยามราตรีอันแสนงดงาม มันสะท้อนหรือดลใจอะไรให้คิดบางอย่างได้กันนะ ผมหาคำตอบได้อีกข้อว่า ผมมาญี่ปุ่นทำไม?
“ผมมาญี่ปุ่นเพื่อ ตอกย้ำให้แน่ใจว่า โลกนั้นกว้างใหญ่ โลกที่เราคิดนั้นมีอยู่จริงๆ และเราตัวเล็กมากแค่ไหน อ่อนหัดมากขนาดไหน เมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่น และคนอื่นๆในโลกใบนี้ กลับไปจงขยันได้แล้ว! จงขยันให้มากกว่านี้! ต้องขยันให้ได้เท่าคนญี่ปุ่น! กลับไปฉันจะต้องไม่ Lose! ต้อง Control ตัวเองให้ได้!”
ตอนหน้าเตรียมพบกับ Day 7 : Odaiba เมืองแห่งอนาคต