MUSIC FOR BUSINESS

การให้ Credit อย่างถูกต้องและเป็นธรรมในวงการเพลง (Producer ควรรู้)

การให้ Credit อย่างถูกต้องและเป็นธรรมในวงการเพลง (Producer ควรรู้)

การให้ Credit อย่างถูกต้องและเป็นธรรมในวงการเพลง (Producer ควรรู้) เคยสังเกตกันไหมว่าเวลาดู Music Video ท้ายคลิปมักจะมี Credit ปรากฏอยู่หลายตำแหน่ง ? หลายคนอาจสงสัยว่าควรใส่อะไรบ้าง หรือใส่แค่ชื่อคนร้องพอหรือเปล่า ? การให้ Credit อย่างถูกต้องและเป็นธรรม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ Producer ทุกคนควรใส่ใจ เพราะสะท้อนถึงมารยาทในการทำงาน และความเป็นมืออาชีพด้วย ซึ่ง Credit ที่ต้องใส่มีอะไรบ้าง ไปดูกันครับ สมัยก่อนเราจะเห็น Credit ของคนทำเพลงต่าง ๆ ได้ในปกเทป ปกแผ่นไวนิลบ้าง แต่ในสมัยนี้ที่รูปแบบของชิ้นงานเพลงเปลี่ยนไปแล้ว Credit ก็จะใส่ไว้ใน platform ที่เราฟังเพลงกันนี่แหละ เช่น Spotify,...

6 วิธีสร้าง Portfolio งานเพลง ทำอย่างไรให้ปังและได้งาน

6 วิธีสร้าง Portfolio งานเพลง อย่างไรให้ได้งาน

6 วิธีสร้าง Portfolio งานเพลง ทำอย่างไรให้ปังและได้งาน หลายคนเรียนและฝึกทำเพลงมาถึงจุดหนึ่ง ก็เริ่มอยากที่จะรับงานเอง แน่นอนว่าเราต้องสร้าง Portfolio หรือแหล่งรวมผลงาน เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้รับงานจากลูกค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่ง Portfolio จะน่าสนใจอยู่ไหมก็อยู่ที่ผลงานที่เราคัดเลือกมาใส่ เรามาดู 6 วิธีสร้าง Portfolio งานเพลงให้ปังและได้งาน จะมีอะไรบ้างิ ไปดูกันครับ 6 วิธีสร้าง Portfolio งานเพลง ทำอย่างไรให้ปังและได้งาน เราไม่จำเป็นต้องโชว์ทุกงานที่เคยทำ แต่ให้เลือก 10 – 20 ชิ้นที่เราภูมิใจและคิดว่าดีที่สุดออกมา เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นงานที่ดีที่สุดของเรา และในจำนวน 10 – 20 ชิ้น เป็นจำนวนกำลังดีที่ลูกค้ายังชมผลงานของเราได้แบบไม่อึดอัด ถ้ามากกว่านี้อาจจะอึดอัด...

5 สิ่งจำเป็น! ถ้าอยากรอดในอาชีพ Music Producer

The Real Producer REAL / DEEP / EXCLUSIVE . หลักสูตรโดย VERY CAT SOUND : Compose Your Dream . เราไม่ได้สอนให้คุณแค่ทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริง ถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการทำดนตรีจริงๆ อยากเรียนรู้แบบลึก จริงจัง นี่คือหลักสูตรที่เนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง นักทำดนตรี ในระดับมืออาชีพ . หลักสูตร The Real Producer เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิชาดนตรีแท้ๆ ที่เป็นรากฐานในการสร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพทัดเทียมสากล สนใจหลักสูตร ติดต่อ...

ต้องเรียนแค่ไหนถึงเริ่มทําเงินจากการทําเพลงเป็นอาชีพได้

หลายคนสงสัยว่า ถ้าอยากทำเพลงเป็นอาชีพ ต้องเรียนดนตรีเยอะแค่ไหนถึงจะเริ่มทำเงินได้? บอกเลยว่ามันไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ เพราะผมเคยเห็นคนที่ไม่เคยเรียนดนตรีในห้องเรียนมาก่อน แต่ก็สามารถทำเพลงและหาเงินจากมันได้ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่เรียนดนตรีอย่างจริงจังจนจบมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่เลือกทำเพลงเป็นอาชีพ แล้วแบบนี้จะทำเพลงเป็นอาชีพ ต้องเรียนแค่ไหน? เรียนมากหรือน้อยไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ บางคนอาจไม่ต้องเรียนเยอะเลย แต่มีพรสวรรค์ในการเขียนเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรี แล้วหาจังหวะดีๆ ในการนำเพลงของตัวเองไปเสนอกับค่ายเพลง ก็สามารถเริ่มทำเงินได้แล้ว อย่างเช่นนักแต่งเพลง ที่สร้างสรรค์เนื้อร้องและทำนองที่ติดหูได้ดี คนแบบนี้อาจไม่จำเป็นต้องจบดนตรีจากมหาวิทยาลัยเลย แต่เน้นฝีมือและความสามารถในการเล่าเรื่องผ่านเพลง แต่ถ้าคุณอยากไปในสายงานที่ต้องใช้ทักษะเชิงเทคนิคมาก เช่น Sound Engineer ที่รับผิดชอบการ Mix และ Master เพลงให้ศิลปิน ก็อาจจะต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในด้านเทคนิคพวกนี้ เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการจัดการเสียง ซึ่งทักษะพวกนี้อาจไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์เพียงอย่างเดียว คู่แข่งในวงการดนตรี ปัจจุบันมีคนที่เรียนจบดนตรีโดยตรงเยอะมากขึ้น และพวกเขาก็มีทักษะที่หลากหลายมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งในวงการ Producer ที่ต้องทำเพลงหลายแนว ตั้งแต่เพลงป๊อปง่ายๆ ไปจนถึงเพลงแจ๊ซหรือคลาสสิกที่มีโครงสร้างซับซ้อน...

5 แบรนด์ที่ยอดขายปังด้วย Music Marketing

1.Nestlé Ice Cream Nestlé Ice Cream ได้ชวนศิลปินดูโอ้ LUSS มาร่วมแจมในเพลงโฆษณาอย่าง ‘La VanilLIVE เล่นใหญ่ไม่พัก จัดหนักเกินต้าน’ ที่นอกจากแนวเพลงจะฟัง่ายแล้วเพิ่มพลังความสดใจแล้ว MV เองก็ชวนให้เราสนุกไม่แพ้กัน พร้อมกับบอกรสชาติของไอศกรีมรสใหม่ที่ผสมผสานวนิลากับสตอเบอรี่ได้เปรี้ยวหวานลงตัว 2.KMA-Krungsri Mobile App เพลงชิวๆจาก Morvasu ศิลปินอินดี้ที่มาชวนทุกคนเพลิดเพลินไปกับดนตรีเพราะๆบวกกับเนื้อร้องที่ชวนเราหาความสุขรอบตัว ซึ่งความพิเศษของโฆษณาตัวนี้คือการเขียนเนื้อเพลงมาจากทุกความสุขที่คนพูดถึงใน Social media เรียกว่าขยี้ Insight ในการตามหาความสุขสุดๆ 3.Donki เพลงประกอบร้าน Donki ที่เชื่อว่า 90% ของคนส่วนใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ร้านค้าแห่งนี้ แค่ได้ยินทำนอง หรือบางท่อนของดนตรี ล้วนจะต้องจำได้อย่างแน่นอน กับดนตรีประกอบร้านทำนองสนุกๆมีท่อนร้องอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง Don...

จ้างทำเพลงหลักหมื่นหลักแสน คุ้มค่ากับธุรกิจหรือไม่?

การทำโฆษณาด้วยเพลงนั้นมีค่าใช้จ่ายเสมอ อย่างไรก็ตามในตัวเลือกต่างๆก็สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมได้ ในการมองถึงความคุ้มค่าบางทีอาจจะต้องสำรวจข้อดีของมันเสียก่อน ว่าประโยชน์ของมันมีอะไรบ้าง อย่างการตลาดทางดนตรีสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์โดยการสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มเป้าหมาย และถ่ายทอดภาพลักษณ์และข้อความที่แตกต่างออกไป ต่อไปนี้เป็นวิธีการบางอย่างที่การตลาดทางดนตรีจะช่วยในการสร้างตัวตนหรือเอกลักษณ์ของแบรนด์ บางทีการวางกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับศิลปินชื่อดังที่มียอดขายเปรี้ยงปร้างอาจทำให้เสียเงินหลายพัน แต่การเป็นพันธมิตรกับศิลปินท้องถิ่นและภูมิภาค ซึ่งหลายคนจะกลายเป็นศิลปินที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จในอนาคตเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม ศิลปินท้องถิ่นดาวรุ่งมีผู้ชมที่หลากหลายทั้งครอบครัว เพื่อน และแฟนเพลง นี่เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าที่ให้ระดับการมีส่วนร่วมและความภักดีที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ศิลปินและวงดนตรีมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นแฟนๆของพวกเขาก็เป็นผู้บริโภคเช่นกัน เมื่อคุณนึกถึงวิธีที่แบรนด์โปรดของคุณใช้ประโยชน์จากดนตรีในกลยุทธ์ทางการตลาด สิ่งนี้สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญเล็กๆน้อยๆ หรือการสนับสนุนตลอดชีวิต การตลาดทางดนตรี คือวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สุดท้ายนี้เห็นได้ว่ามีหลายเหตุผลที่เราควรพิจารณาใช้ดนตรีเป็นหนึ่งในตัวเลือกของกลยุทธ์ในการตลาด เพราะดนตรีและการตลาดเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มการมองเห็น และเพิ่มการมีส่วนร่วมในหมู่ผู้ชม การดึงการตอบสนองทางอารมณ์จากผู้ชมด้วยการทำงานร่วมกับศิลปินที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายคลึงกันจะช่วยให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ได้ นอกจากนี้การเป็นพันธมิตรกับศิลปินหน้าใหม่ยังนำไปสู่โอกาสใหม่และน่าตื่นเต้น ช่วยให้การสร้างแบรนด์ให้เติบโตควบคู่ไปกับการทำตลาดเพลงดิจิทัล ———————The Real ProducerREAL / DEEP / EXCLUSIVE.VERY CAT SOUND : Compose Your Dream.สร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพระดับสากลสนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม...

กรณีศึกษา Butterbear ขายดีด้วย การตลาดดนตรี ได้อย่างไร

ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ButterBear หรือ น้องหมีเนย มาสคอตสุดน่ารักจากแบรนด์และร้านขนมอย่าง “Butterbear” ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ทางการตลาดสุดโด่งดัง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตอนนี้ สามารถดึงดูดลูกค้า สร้างฐานแฟนคลับของร้านได้อย่างน่าทึ่ง และในขณะที่หลายๆคนกำลังไปให้ความสนใจการทำตลาดของตัวแบรนด์อย่าง Mascot Marketing แต่จุดน่าสนใจคือทางแบรนด์ก็มีจุดเชื่อมโยงกับการตลาดดนตรีแอบแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน โดยปกติแล้วมาสคอตจะถูกนำมาใช้แค่ไม่กี่งาน แต่กลับกัน น้องหมีเนย ถือว่าเป็นนักแสดงหลักของช่องที่ช่วยทำให้ content มีความหลากหลาย โดย content ที่ทำให้น้องแจ้งเกิดได้ก็คือคลิปเต้น cover เพลงดังอย่าง Magnetic ของวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังอย่าง ILLIT ซึ่งทางแบรนด์ยิ่งเห็นว่าแฟนๆชอบการเต้นของน้องหมีเนยเป็นพิเศษ แบรนด์จึงเปิดโอกาสให้น้องหมีเนยได้โชว์ความสามารถในการเต้นอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแนว T-pop, K-pop หรือเพลงฮิตที่แฟนๆชอบน้องหมีเนยก็สามารถเต้นได้หมด แสดงให้เห็นว่า น้องหมีเนย มีความเป็นสายสายโซเชียลที่ทันทุกเทรนด์ ทุกกระแส เต้นได้ทุกเพลง...

3 อย่าง ที่นักพากย์โฆษณาต้องมี

อาชีพ นักพากย์ ในปัจจุบันถือเป็นอีก 1 อาชีพที่น่าจับตามอง เพราะมีความต้องการของตลาดที่สูงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนและมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ยินประโยคขายฝันอย่าง 3ไม่เกิน6เดือนรายได้เดือนละแสน 2ถึง3ปีล้าน มาบ้างแต่กลับกันในด้านของอาชีพนักพากย์โฆษณาสามารถสร้างรายได้ 300 $ (10,000 บาท) ภายใน 5 นาทีได้จริงๆ เหมือนการคิดค่าโฆษณาวินาทีละหลายแสน นักพากย์ก็สามารถทำเงินได้เป็นวินาที เป็นนาทีได้เช่นกัน แต่การจะมาทำอาชีพในด้านนี้ก็ไม่ได้ง่าย แม้ว่าจะไม่ได้มีการจำกัดวงอาชีพแบบเจาะจงว่าต้องจบตรงสายจบสาขานี้เท่านั้น แต่ถ้าอยากเป็นนักพากย์มืออาชีพ สิ่งที่ควรมีคืออะไร? อย่างแรก คือมีน้ำเสียงดี ต้องสามารถใช้น้ำเสียงได้หลากหลาย เพราะนักพากย์ต้องใช้น้ำเสียงในการแสดงอารมณ์และสถานการณ์ พากย์เสียงได้หลายอารมณ์ต้องหาวิธีสร้างเสียงให้เข้ากับอารมณ์และสถานการณ์นั้นๆ อาจต้องลองค้นหาสไตล์เสียงของตัวเองให้เจอเพราะถ้าหาเจอแล้วจะช่วยให้เราโฟกัสได้ง่ายขึ้นว่าควรฝึกออกเสียงแบบไหน ใช้เสียงอย่างไรอีกทั้งยังสามารถสร้างเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้อีกด้วย อย่างที่ 2 คือมีทักษะ ทักษะที่จำเป็นต้องมีหลักๆคือ ทักษะด้านการอ่านและการตีความ ในการพากย์เสียงต้องมีการอ่านบทพากย์และตีความ ซึ่งต้องอ่านออกเสียงได้ชัดเจน คล่องแคล่ว ตรงตามไวยากรณ์...

3 ทริค ทำเพลง Cover ให้น่าสนใจ

ทริคที่ 1 เริ่มต้นตั้งแต่การเลือกเพลง การเลือกเพลงมาทำ cover นั้นหลายคนอาจคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นที่จะต้องคิดอะไรให้มากมาย แต่การ cover เพลงที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะทำให้คนอาจไม่กลับมาดูช่องของเราอีก ควรเลือกเพลงที่ดึงเอาจุดแข็งของตัวเองออกมาได้ดี เพื่อโชว์ความเป็นศิลปินในตัวของตัวเองออกมาให้ได้เยอะ และควรเลือกเพลงฮิตที่กำลังได้รับความนิยม เพราะเพลงที่กำลังดังนั้นมีฐานคนฟังมากอยู่แล้ว และแน่นอนว่าก็คงมีไม่น้อยที่อยากจะลองฟังฉบับอื่นๆดู ถ้าเกิดเรา cover เพลงที่อาจจะไม่ได้ดังหรือกำลังเป็นกระแส มันก็อาจจะยากหน่อยที่จะดึงดูดคนเข้ามา เพราะแค่ตัวเพลงอย่างเดียวก็สามารถดึงดูดคนเข้ามาดูได้ แล้วยิ่งถ้าช่องของเราไม่ได้มีฐานแฟนเพลงฟังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้นก็เหมือนกับว่าเรายิ่งตัดโอกาสของตัวเอง ในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนที่อาจจะกลายมาเป็นแฟนคลับของเราในอนาคตเข้าไปอีก ทริคที่ 2 ทำเพลงให้ใส่ความสร้างสรรค์ อีกสิ่งหนึ่งนอกจากการที่เราร้องเพลงเพราะแล้วนั้นมันอาจยังไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่คนกำลังมองหาคือความสร้างสรรค์ อย่าลืมว่าการ cover ไม่ใช่การร้องคาราโอเกะ เราต้องทำมันให้ดีกว่าหรือทำให้รู้สึกแตกต่างออกไปจากต้นฉบับ โดยต้องมีการปรับแต่งใหม่ เพื่อให้คนได้ฟังต้นฉบับอีกครั้งในอีกรูปแบบอีกอารมณ์ความรู้สึก วิธียอดนิยมที่สุดในการทำเพลง cover คือร้องเพลงในเวอร์ชั่น Acoustic ลดความเร็วจังหวะของต้นฉบับ และเหลือแค่เสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรี และอีกวิธีหนึ่งที่ฮิตไม่แพ้กัน คือการเปลี่ยนรูปแบบจากต้นฉบับไปเลยโดยสิ้นเชิง...

ระบบเสียง IVR ตัวช่วยในธุรกิจชั้นนำ

ระบบ IVR (Interactive Voice Response) คือ การตอบโต้เมนูอัตโนมัติผ่านเสียง ที่ใช้ในระบบ Call Center เพื่อตอบคำถามลูกค้าโดยไม่ต้องใช้พนักงาน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระการทำงานของพนักงานในการตอบรับลูกค้าเบื้องต้น และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่โทรเข้ามาโดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการคุยหรือต้องการการบริการในเรื่องใด ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณโทรหาบางบริษัทและมีระบบบอกว่า “ติดต่อฝ่ายขายกด 1“ “ติดต่อฝ่ายบริการกด 2” “แจ้งปัญหากด 3” แบบนี้เป็นต้น ซึ่งระบบนี้สามารถช่วยในการเก็บข้อมูลของลูกค้า เช่น ประเภทของปัญหาหรือหมายเลขที่ติดต่อ และยังช่วยพาลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาให้ไปยังจุดที่เขาต้องการได้เลย โดยที่ไม่ต้องเพิ่มภาระให้กับฝ่ายอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยที่ระบบ IVR เก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามา ผ่านตัวเลขที่เป็นตัวแทนของปัญหาในโทรศัพท์ พร้อมทั้งฝั่งของบริษัท สามารถตั้งค่าคำตอบล่วงหน้าสำหรับลูกค้าถามบ่อย ๆ เพื่อลดเวลาในการรอของลูกค้า ซึ่งถือว่าเป็นการบริการลูกค้าแบบ Self Service รูปแบบนึงที่หลายๆบริษัทชั้นนำมีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว สรุปสั้นๆได้ว่า...

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.