PRODUCER Q&A

วิธีทำเพลงแล้วได้เงินมากขึ้น 2 – 10 เท่า

วันนี้เราจะมาคุยถึงเรื่องการทำเงินกับเพลงยังไงให้ได้เงินมากขึ้นเป็น 2 – 10 เท่า ซึ่งเราจะไม่ได้มาพูดเวอร์ๆ แต่เราจะมาให้ข้อมูลที่ช่วยทำให้เพลงของคุณได้เงินมากขึ้นจริงๆ ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัวและเทคนิคต่างๆว่าต้องทำยังไง The Real ProducerREAL / DEEP / EXCLUSIVE หลักสูตรโดย VERY CAT SOUND : Compose Your Dream เราไม่ได้สอนให้คุณแค่ทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริงถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการทำดนตรีจริงๆ อยากเรียนรู้แบบลึก จริงจังนี่คือหลักสูตรที่เนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง นักทำดนตรี ในระดับมืออาชีพ หลักสูตร The Real Producerเล็งเห็นถึงความสำคัญของวิชาดนตรีแท้ๆ ที่เป็นรากฐานในการสร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพทัดเทียมสากลสนใจหลักสูตร ติดต่อ admin...

อยากแต่งเพลงให้ศิลปินร้อง ต้องทำยังไง?

มีคนเคยถามกับทางเราว่า “อยากจ้างทำเพลง และเอาไปให้ศิลปินคนนี้ร้องได้ไหม” ซึ่งสามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นการส่งเพลงของเราเองที่ทำทุกอย่างให้ครบหมดแล้ว ไปให้กับทางค่าย มีชื่อของศิลปินขึ้นมา มีชื่อของเราเป็นคนแต่ง เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น เพราะทางค่ายมีกระบวนการหลายอย่างที่ต้อใช้ในการตัดสินใจ ก่อนจะให้ศิลปินในสังกัดของตัวเองมาเป็นคนร้องให้ โดยส่วนใหญ่ทางค่ายจะมีทีมงามเป็นของตัวเอง มีโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง ทีมงามโปรดักชั่นอื่นๆสังกัดอยู่ในค่าย หรือมีคนที่ไว้วางใจให้เข้ามาช่วยเหลืองานในค่ายเพลงได้ ซึ่งการที่เราจะเอาเพลงไปให้ศิลปินคนนั้นๆร้อง มันจำเป็นที่จะต้องผ่านกระบวนการหลายอย่าง โดยเฉพาะศิลปินที่มีชื่อเสียง เพราะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของเพลง การตลาด และเตรียมแผนในการทำสิ่งต่างๆ ถ้าคุณทำเพลงตัวเต็มส่งไปให้กับทางค่ายแล้วเขาชอบ ก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะเอาส่วนประกอบต่างๆที่คุณทำมาไปใช้ทั้งหมด หากค่ายที่เราส่งเพลงไปให้เขาชอบ แล้วซื้อลิขสิทธ์กับเราไป เขาสามารถที่จะให้ทีมงานของเขาไปทำใหม่ก็ได้ กลายเป็นว่าการที่คุณจ้างคนมาทำเพลงให้ แล้วส่งไปให้ค่ายเพลง เขาก็จะมานั้นรื้อใหม่ หรือเอาส่วนต่างๆมาสานต่อกันเองอีกที กลายเป็นคุณจะเสียงเงินไปฟรีๆ ทีนี้เราไม่จำเป็นต้องทำเบ็ดเสร็จทุกอย่าง เราสามารถส่งเดโมเพื่อให้ทางค่ายพิจารณาได้ว่าเขาชอบหรือไม่ แล้วต้องต่อรองกันว่าจะตกลงกันยังไง The Real ProducerREAL / DEEP...

เรียนคณะดนตรีอีกดีมั้ย? ถ้าเลยวัยมหาลัยแล้ว

เคสที่แล้วเราเคยพูดถึงน้องๆวัยเข้ามหาวิทยาลัย ที่อยากจะเข้าไปเรียนคณะดนตรี ซึ่งเราก็ให้คำตอบไว้พิจารณาแล้ว ว่าควรหรือไม่ควร ใครที่ยังเป็นวัยเข้ามหาวิทยาลัย อายุไม่เยอะ แนะนำให้เข้าไปอ่าน “เรียนคณะดนตรีอีกดีมั้ย? ถ้าเลยวัยมหาลัยแล้ว” https://verycatsound.com/blog-go-to-college แต่ใครที่เป็นวัยเลยการสอบเข้ามหาวิทลัยไปแล้ว แต่ใจอยากจะเข้าไปเรียนอยู่ คำตอบก็จะให้คล้ายๆกัน แต่จะแตกต่างกันนิดหน่อย 1. ทุนทรัพย์ เช่นเคย การจะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนคณะดนตรี ใช้เงินทุนสูงมาก และนอกจากนั้นไม่พอ เรายังต้องเสียค่าอุปกรณ์ในการทำเพลงอีก ไม่ว่าจะเครื่องดนตรี อุปกรณ์เสริม เครื่อง Mix ปลั๊กอิน หรือโปรแกรม แม้ว่าเราจะจบจากมหาวิทยาลัยไปแล้วก็ตาม ทีนี้ถ้าพูดถึงค่าเรียน ปกติจะตกอยู่ที่ชั่วโมงละ 500 – 1000 บาท หรือระดับลึกกว่านั้นก็ 1000 – 2000 บาท ถ้าเรียนไม่กี่ชั่วโมงราคาอาจจะอยู่ในระดับที่พอรับได้...

เรียนคณะดนตรีดีมั้ย? วัยเข้ามหาลัย

ใครที่ยังสงสัยว่าเรียนคณะดนตรีในมหาลัยดีไหม ถ้าใจเรารักในการทำดนตรีจริงๆ ซึ่งก็ต้องถามกับตัวเองก่อนว่าเราอยากเรียนไปถึงระดับไหน มือสมัครเล่นพอทำเพลงได้ หรือระดับมืออาชีพทำเพลงระดับซับซ้อนได้ ถ้าคำตอบคืออย่างที่สอง ก็แนะนำว่าให้เข้าไปเรียนในคณะดนตรีเลย เพราะในนั้นจะมีทุกองค์ความรู้ที่เราต้องการทั้งหมด และได้รับการฝึกฝนจนทักษะเราเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก่อนจะเข้าก็มีอีกหลายๆปัจจัยที่ต้องคำนึกถึงก่อนว่าเราสามารถเข้าได้ไหม สำหรับน้องๆคนไหนที่ยังอยู่ในวัยเข้ามหาวิทยาลัย มาดูกันว่าเราต้องคำนึกถึงอะไรบ้าง 1. เงิน / ทุนทรัพย์ การจะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนคณะดนตรี ใช้เงินทุนสูงมาก และนอกจากนั้นไม่พอ เรายังต้องเสียค่าอุปกรณ์ในการทำเพลงอีก ไม่ว่าจะเครื่องดนตรี อุปกรณ์เสริม เครื่อง Mix ปลั๊กอิน หรือโปรแกรม แม้ว่าเราจะจบจากมหาวิทยาลัยไปแล้วก็ตาม ทีนี้ถ้าพูดถึงค่าเรียน ปกติจะตกอยู่ที่ชั่วโมงละ 500 – 1000 บาท หรือระดับลึกกว่านั้นก็ 1000 – 2000 บาท ถ้าเรียนไม่กี่ชั่วโมงราคาอาจจะอยู่ในระดับที่พอรับได้ แต่การเข้าไปเรียนมหาลัยต้องใช้เวลาเรียนมากถึง...

6 เหตุผลที่ ทำไมเพลงถึงไม่ดัง

เพลงที่ดีกับเพลงที่ดังในบางทีมันก็เป็นเพลงเดียวกัน แต่ในบางครั้งมันก็เป็นคนละอันกัน เพลงที่ดีเราจะไม่ขอตัดสินว่าอะไรคือดีเพราะดีแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ส่วนในเรื่องของการที่จะทำเพลงให้ดังมันก็เป็นเรื่องยากที่จะตอบว่าต้องทำยังไงให้เพลงดังเพราะต่อให้ไปถามนักแต่งเพลงเก่งๆหรือคนเก่าแก่ในวงการบางทีก็อาจจะให้คำตอบไม่ได้ว่าต้องทำยังไงเพลงถึงจะดัง แต่เหตุผลที่ทำไมเพลงถึงไม่ดังมันดันมีเหตุผลอยู่ 1. แนวดนตรี ไม่ POP ทุกๆคนคงได้ยินคำว่า แนวดนตรี POP มาอยู่บ้างผ่านๆหู แต่ถามว่าเข้าใจจริงๆมั้ยว่าไอดนตรี POP ที่ว่ามันคืออะไร จริงๆแล้ว POP มันย่อมากจาก Poppular ที่แปลว่า เป็นที่นิยม ซึ่งความจริงมันไม่ใช่แนวดนตรี เพราะตัวมันเองจะเป็นเพลงแนวไหนก็ได้ “ขอแค่ให้เพลงนั้นเป็นที่นิยม” และคนก็จะทำตามๆกันจนกว่าคนจะเบื่อแล้วก็ตกยุคไปหรือที่เรียกง่ายๆว่าเชย สรุปง่ายๆก็คือ ดนตรีแนว POP ในแต่ละยุคสมัยก็คือแนวเพลงที่ได้รับความนิยมอยู่ในช่วงเวลานั้นๆจากคนหมู่มาก อย่างปัจจุบันอาจจะเป็นแนว Hip-Hop RAP City-POP SynthPOP อะไรก็ว่าไป การที่คุณจะทำเพลงแนวอื่นนอกเหนือจากแนวที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน บางทีก็อาจจะต้องเผื่อใจหน่อยเพราะถ้าจะหวังให้มันดังเป็นพลุแตกก็อาจจะยากเกินไป 2. เนื้อหา...

เรียนแต่งเพลง ที่ไหนดี

5 ปัจจัยในการเลือก เรียนแต่งเพลง ที่ไหนดี

สำหรับใครที่ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าสนใจ จะ เรียนแต่งเพลงที่ไหนดี หรือยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน ต้องเรียนอะไรบ้าง และต้องใช้เงินเท่าไหร่ เราก็มีเกณฑ์ในการตัดสินใจ ช่วยให้คุณรู้ว่าตัวคุณนั้นต้องการจะเป็นศิลปิน, โปรดิวเซอร์, หรืออยากเรียนรู้ อยากเรียนแต่งเพลงเป็นแค่งานอดิเรก และตัวคุณนั้นอยู่ในระดับไหน ต้องเรียนรู้อะไรต่อ ถ้าใครที่ยังไม่รู้ตัวว่าเรานั้นต้องการอะไรกันแน่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปด้วยกัน The Real ProducerREAL / DEEP / EXCLUSIVE หลักสูตรโดย VERY CAT SOUND : Compose Your Dream เราไม่ได้สอนให้คุณแค่ทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริงถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการทำดนตรีจริงๆ อยากเรียนรู้แบบลึก จริงจังนี่คือหลักสูตรที่เนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นโปรดิวเซอร์ เรียนแต่งเพลง เป็นนักทำดนตรี...

เรียนทำเพลง 4 แนวทางปรับตัวในยุค AI สำหรับคนทำเพลง

4 แนวทางปรับตัวในยุค AI สำหรับคนทำเพลง

หลายๆคลิปที่ผ่านมาเราเคยพูดถึงกันไปแล้วกับข้อดีข้อเสียของ AI ทำเพลง เพราะถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การทำเพลงนั้นสะดวกสบายมากขึ้นแต่ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการปรับตัว และเอาตัวรอดว่าต้องทำยังไงโดยเราจะแบ่งเป็น 4 แนวทางในการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับยุค AI 1.แตกต่างให้เจ๋ง ข้อสังเกตเวลาเราลองให้AIเจนเพลงออกมา เราจะรับรู้ได้ว่าเพลงที่AIทำมันดี แต่ไม่ได้ดีมาก เป็นเพลงที่ไม่มีความโดดเด่น เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่โหลไม่ว้าว เพราะมันเกิดจากการที่AIนำเพลงจากฐานข้อมูลมารวมกันเยอะๆแล้วมาทำเป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งในค่าเฉลี่ยมันก็จะมีแต่เพลงกลางๆทั่วไปไม่ได้ว้าว แต่เพลงที่ว้าวหรือเพลงที่ดีมันก็จะเป็นเพลงที่อยู่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเหล่านั้นและนั่นคือความแตกต่าง AIมันไม่มีสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ แต่มนุษย์ทุกคนมีและดันมีแตกต่างกันด้วย สิ่งนั้นเรียกว่า “รสนิยม” การที่เราทำเพลงไปถึงจุดๆหนึ่งแล้วรู้สึกไม่ชอบสิ่งนี้ ชอบที่จะใช้ท่าแบบนี้บ่อยๆ จนมันกลายเป็นลายเซ็นต์ สิ่งเหล่านี้คือความมีเอกลักษณ์ การเป็นตัวของตัวเอง ไม่ซ้ำใคร มันจะเกิดความรู้สึกที่แตกต่างรู้สึกดูมีสเน่ห์ ดูโดดเด่นขึ้นมา 2.เก่งกว่าให้ได้ ถ้าถามว่าAIเก่งมั้ย? ก็ต้องยอมรับว่ามันเก่ง แต่สิ่งหนึ่งที่มันแพ้มนุษย์คืองานสร้างสรรค์ นวัตกรรมต่างๆสิ่งที่มนุษย์คิดค้น AIคิดเองไม่ได้แต่มนุษย์สามารถทำได้ เพียงแต่สิ่งที่AIดีกว่าคือความเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าเราแข่งความเร็วไม่ได้ เราก็แข่งที่คุณภาพ รายละเอียดของงานดีกว่า...

เรียนทำเพลง 3 เครื่องดนตรีที่ควรฝึก

3 เครื่องดนตรีที่ควรฝึก ถ้าอยากเป็น Producer ทำเพลง

เครื่องดนตรีบนโลกนี้มีหลากหลายชนิดให้เราเลือก ขึ้นอยู่กับว่าเราสนใจตัวไหน แต่ถ้าถามว่าเครื่องดนตรีตัวไหนควรฝึกฝนถ้าอยากเป็น Music Producer? ก็มีเครื่องดนตรีที่จำเป็นต้องฝึกจริงๆอยู่ 3 อย่าง และใช้ในการทำเพลงได้หลากหลาย ซึ่งจะมีอะไรบ้าง เดี๋ยวมาดูกัน 1. ร้องเพลง เสียงร้อง ถือเป็นเครื่องดนตรีที่พื้นฐานที่สุด และเป็นสิ่งที่คนเรามีติดตัวกันทุกคน ถ้าคุณสามารถร้องเพลงได้ไม่เพี้ยน คุณก็สามารถคิดโน๊ตและไลน์ต่างๆในหัว เอามาประกอบเป็นดนตรีได้เหมือนกัน แต่การมีเส้นเสียงดี กับร้องไม่เพี้ยนต่างกันนะครับ เพราะถ้าคุณเป็นคนที่มีเสียงหวาน ละมุน หรือไพเราะ แต่ร้องเพี้ยนก็อาจจะทำให้มีปัญหากับการทำเพลงได้ เพราะการร้องไม่เพี้ยนเกิดจากการที่หูของคนเราสามารถร้องตรงโน้ต หรือรับรู้ได้ว่าโน้ตที่เราร้องมันตรงกับคีย์หรือไม่ ซึ่งก็จะไปเกี่ยวข้องกับการฝึก Ear Training ถ้าใครฝึก Ear Training มาเยอะ และแยกแยะโน้ตออกได้ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนเกิดมามีเส้นเสียงดีก็ตาม กลับกัน การที่คุณเป็นคนเสียงแหบ ถ้าคุณสามารถร้องตรงคีย์ ก็จะกลายเป็นอีกสเน่ห์นึงไปเลย...

เรียนดนตรี 3 องค์ประกอบเสียง

รู้จักกับ 3 องค์ประกอบ Sound ในภาพยนต์

ในโลกภาพยนต์ จะมี 3 เสียงหลักๆ ที่เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ แต่ละองค์ประกอบจะมีหน้าที่ในแบบของมัน และมี 4 กระบวนการในการทำ กว่าจะมาเป็นหนังให้เราได้ดูกัน แต่หลายๆคนอาจยังไม่รู้ว่าแต่ละองค์ประกอบมันมีอะไรบ้าง และต้องมีทักษะด้านไหนถึงจะทำได้ ซึ่งจะมีอะไรบ้าง เดี๋ยวเรามาดูกันครับ 1. Dialogue เสียงพากย์ ช่วงที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ จะมีคนๆนึงถือไมค์ Boom หรือก็คือไม้ยาวๆที่อยู่เหนือหัวนักแสดง เพื่อที่จะจับเสียงพูด บางครั้งถ้าหากไม่เจอปัญหา เช่น เสียงแทรก, เสียง Noise, หรือเสียงอื่นที่รบกวนการถ่ายทำ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขอะไรเยอะ และสามารถใช้เสียงนักแสดงเอาเข้าในหนังได้เลย แต่ถ้าหากมีเสียงรบกวนที่ว่ามา จนกลบเสียงนักแสดง ก็จะมีการอัดเสียงพากย์แก้เข้าไป ซึ่งก็จะใช้นักแสดงคนเดียวมาเข้าห้องอัด และพูดตามปากที่ได้แสดงเอาไว้ 2. ดนตรีประกอบ เสียงดนตรีๆประกอบหนัง หรือก็คือ Film...

4 อย่างที่เรียนแล้วไม่ได้นำไปสู่การเป็น Music Producer

ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ในงารสอนดนตรีมานี้ มีหลายคนที่เข้ามาปรึกษาผมเกี่ยวกับการเรียนเพื่อประกอบอาชีพทางดนตรี ซึ่งบางคนก็เลือกเรียนถูก แต่ยังมีอีกไม่น้อยเลยที่เลือกเรียนผิดสาย ซึ่งจะทำให้จบมาทำงานไม่ตรงตามต้องการ วันนี้เราจะมาดู 4 อย่าง หรือ 4 วิชาที่เรียนแล้วไม่ได้นำไปสู่การเป็น Music Producer กันครับ 1. เรียน DJ DJ หรือ Disc Jockey เป็นสายงานทางดนตรีที่ทำหน้าที่เล่นเพลงให้คนตามสถานบันเทิงต่างๆ มีลักษณะเด่นคือมีการสควอช (Squat) แผ่น ซึ่งชัดเจนว่าคือการเปิดเพลงไม่ใช่การสร้างเพลงขึ้นมาตามหน้าที่ของ Producer ดังนั้นถ้าใครเลือกเรียน DJ เพื่อหวังจะสร้างเพลงขึ้นมาล่ะก็เรียกได้ว่าเรียนผิดทางอย่างมาก แต่ด้วยที่ว่ามี Producer หลายๆคนที่แทนตัวเองว่า DJ และเพลงสมัยใหม่มีแนวดนตรี House, Disco อยู่ด้วยจึงทำให้หลายคนเข้าใจว่าการเรียน DJ นั้นสามารถต่อยอดไปเป็นProducer ในแนวดนตรีนั้นๆได้ แต่จริงๆแล้วต่อให้มี Producer สาย DJ จริง แต่เขาเหล่านั้นผ่านการเรียนดนตรีมาทั้งนั้นกว่าจะผันตัวเองไปเป็น Producer ได้ ดังนั้นสู้มาเรียนดนตรีโดยตรงแต่แรกเลยดีกว่าครับ 2. เรียนเป็น Remixer สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว การเป็น Remixer นั้นหลายๆคนอาจนึกถึง DJ ด้วย เพราะด้วยความเคยชินจากเพลง Remix หลายๆเพลงที่แทนตัวคนทำ Remix ว่า DJ แต่จริงๆแล้วงานคนละส่วนแตกต่างกันสิ้นเชิงDJ นั้นคือคนเปิดเพลง ส่วน Remixer คือคนที่นำเพลงที่มีอยู่แล้วมาใส่เครื่องดนตรี เช่น ลูปกลอง หรือ Synth ใหม่ๆ เพื่อให้ได้แนวและอารมณ์เพลงใหม่ อย่างเพลงแดนซ์มันส์ๆที่เราคุ้นเคยกัน ถึงแม้จะมีส่วนคล้ายการทำเพลงแต่เป็นเพียงการนำเพลงที่ทำขึ้นมาอยู่แล้วมาดัดแปลงอีกที ถือว่าไม่ได้คิดเองตั้งแต่แรก จึงไม่สามารถเรียกว่าคือการ Produce เพลงได้ ดังนั้นการเรียนเป็น Remixer จึงยังห่างจากการเป็น Producer ไม่น้อยเลย 3. เรียนเป็น Live sound engineer เป็นที่เข้าใจผิดกันอย่างมาก กับคนหมู่มากว่าการเรียน Mixing คือการเรียนทำเพลง แต่จริงๆแล้วมันมีความคลุมเครืออยู่ (จริงๆอาจชัดเจนอยู่แล้ว...

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.