สอนแต่งเพลง แต่งเพลงไทยอย่างไร ให้ไม่ข่นขืนเมโลดี้

วิธีแต่งเพลงอย่างไร ให้วรรณยุกต์ไทย ไม่ข่มขืนเมโลดี้

Share via:

Krissaka Tankritwong

มีนักเรียนในคลาส The Real Producer หลายคนที่แต่งเนื้อเพลงภาษาไทยแล้วติดปัญหานี้ คือรู้สึกว่าใส่ภาษาไทยแล้วมันไม่ลื่นไหลไปกับเมโลดี้ ใช่แล้วครับ ภาษาไทยนั้นที่จริงแล้วแต่งเพลงยากกว่าภาษาอื่น เพราะมันมีเรื่องของวรรณยุกต์หรือระดับเสียงเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะ หลายๆครั้งที่พอใส่คำเข้าไปใน melody แล้วจะพบว่า มันฟังออกมาแปลก แปร่ง ไม่ลื่นหู หรือบางทีจะเคยได้ยิน นักดนตรีหลายคนเรียกว่าเกิดอาการ “ข่มขืนเมโลดี้” หรือ “ข่มขืนวรรณยุกต์”

ผมเคยสอนเรื่องนี้ไว้ใน private class ให้หลายๆคนไป แต่คิดว่าน่าจะมีคนติดเรื่องนี้เยอะ เลยคิดว่านำมาแบ่งปันกันในที่นี้เลยดีกว่าครับ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไป จนอธิบายให้จบไม่ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่

ก่อนอื่นเลย ขออภัยไว้ก่อนสำหรับผู้ที่ไม่แม่นวรรณยุกต์ หรือยังไม่มีพื้นฐานทางดนตรีพอที่จะคิดตามเสียงที่อ้างอิงในบทความได้ อาจจะทำให้อ่านเข้าใจยากสักหน่อย แนะนำคือ ถ้าไม่เข้าใจ ควรมีคนที่แม่นวรรณยุกต์ออกเสียงให้ฟัง หรือให้ อ.อธิบายในคลาสเรียนร้องเพลง หรือมาเรียนในคลาสของ VERY CAT ACADEMY ก็ได้ครับ

อะไรคือการข่มขืนเมโลดี้

อาการข่มขืนเมโลดี้ คือการพยายามจะร้องคำๆนั้นให้เป็นเมโลดี้นั้นให้ได้ แม้มันจะฟังดูขัด
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเป็นโน้ต ตัว โด-มี
และพยายามจะใส่คำว่า รัก-เธอ เข้าไป
ผลลัพธ์คือ มันจะฟังเป็นเหมือนคำว่า “หลัก – เท้อ”

การที่มันเกิดอาการ “ข่มขืน” มันเป็นเพราะว่า
คำว่า รัก-เธอ มีลักษณะเสียงตัวโน้ตแบบ สูง ไป ต่ำ
แต่ตัวโน้ต โด-มี มีลักษณะตัวโน้ตแบบ ต่ำ ไป สูง
จะเห็นได้ว่า ลักษณะการเคลื่อนที่ของตัวโน้ตมันสวนทางกันจะๆเลย เลยชนกันจังๆเลยครับ นั่นคือสาเหตุ

ถ้าเป็นผู้ฟังยุค gen X หรือ Baby Boomer หลายๆคน จะค่อนข้างซีเรียสเลยทีเดียวว่ามันฟังดูไม่โอเค ต้องพยายามแก้ที่เมโลดี้หรือแก้คำจนกว่ามันจะออกมาฟังดูเป็นธรรมชาติ ฟังดูเป็นคำว่า รักเธอ ปกติให้ได้ แต่ในปัจจุบัน เส้นแบ่งของถูกผิดมันถูกทำลายลงไปเยอะแล้ว ผู้ฟังรุ่นใหม่ๆยอมรับในวรรณยุกต์ที่ไปกับเมโลดี้ที่ผิดเพี้ยนนี้ได้บ้าง ถ้ามันได้อารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด สรุปคือมันก็อยู่ที่รสนิยมของแต่ละคนอีกทีอยู่ดี ว่าฟังออกมาแปลก หรือแปร่ง สำหรับคนๆนั้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ารู้สึกว่ามันแปร่ง มันก็มีวิธีแก้อยู่ครับ

ก่อนหน้าที่จะแก้มัน เราต้องมารู้จักกับลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยซะก่อน ที่จริงแล้วเราสามารถอธิบายได้ว่ามันไม่ลื่นเพราะอะไร ทั้งนี้มีองค์ประกอบหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการไม่ลื่นหูอีก อาทิ คำเป็นคำตาย ในภาษาไทย แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดและมีผลมากที่สุดนั่นคือ วรรณยุกต์อย่างที่บอกไปนี่แหละครับ

วรรณยุกต์ไทยทั้งห้าเสียงมีลักษณะทางตัวโน้ตอย่างไร

สำหรับผู้ที่แม่นวรรณยุกต์ น่าจะรู้อยู่แล้วเรื่องพวกนี้ แต่เราจะมาวิเคราะห์ให้ดูกันว่า มันจะคิดเป็นทิศทางของตัวโน้ตยังไง แต่สำหรับผู้ที่ไม่แม่น ควรศึกษาเพิ่มเติม เรื่องของ อักษรต่ำ อักษรกลาง อักษรสูง ของไทย ซึ่งจะมีผลต่อเสียง ทำให้เกิดรูปและเสียงที่แตกต่างกันไปอีก ในที่นี้เราจะขอไม่พูดถึงรูปนะครับ แต่จะพูดถึงเฉพาะรูปแบบเสียง 5 แบบ ได้แก่ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา หรือที่เราชอบแทนด้วยพยัญชนะกอไก่ว่า “กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า” นั่นแหละครับ

1. เสียงสามัญ

เมื่ออักษรกลาง ใส่สละเข้าไป และไม่เติมวรรณยุกต์ ไม้อะไรลงไปเลย จะเป็นเสียงสามัญ
เสียงสามัญ จะเป็นเสียงนิ่งๆ กลางๆ ถ้าเป็นโน้ต ก็คือ โน้ตตัวอะไรก็ได้ ตัวนึงที่เล่นปกติ คงที่ครับ

ผมขอยกตัวอย่างห้าพยางค์ ที่เป็นเสียงสามัญทั้งหมดนะครับ เป็นคำว่า “มา-เรา-มา-บน-ทาง”

ทีนี้มาดูการเคลื่อนไหวของตัวโน้ต ถ้า ทั้งหมดเป็นโน้ตตัวเดียวกันหมด จะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อาทิ (ใครมีเครื่องดนตรีลองกดโน้ตเทียบเสียงตามนะครับ)
โด-โด-โด-โด-โด
ผ่าน

ทีนี้ลองขยับโน้ตขึ้นลงดู เป็น
โด-ลา-โด-เร-มี
จะพบว่า เสียงร้องจะร้องประมาณนี้ “มา-เหร่า-มา-บน-ท้าง”
ซึ่งก็ยังฟังดูโอเคอยู่

ทีนี้ถ้าแบบนี้ล่ะ
โด-ลา-โด-ลา-มี(ตัวล่าง)
จะพบว่า เสียงร้องจะร้องประมาณนี้ “มา-เหร่า-มา-บน-ถ่าง”
ที่จริงจะว่าได้มันก็ได้ แต่บางคนอาจจะติดว่า คำว่า ถ่าง มันดันมีความหมาย เลยอาจจะต้องเปลี่ยน อันนี้แล้วแต่รสนิยมและวิจารณญาณคนอย่างที่บอก

แต่ข้อสรุปเลยคือ

  • ถ้าเป็นเสียงสามัญ แทบจะมีอิสระในการเคลื่อนที่ของโน้ตได้เกือบหมดครับ
  • ยกเว้นแค่ถ้ามันไปพ้องเสียงกับอีกคำที่ดันมีความหมายอีกแบบในภาษาไทยแล้วคุณติด ก็ต้องยอมเปลี่ยน

2. เสียงเอก

เมื่ออักษรกลาง ใส่สละเข้าไป และเติมไม้เอก จะเป็นเสียงเอก
เสียงเอก เฉพาะตัวของมันเอง ที่จริงแล้ว จะเป็นเสียงนิ่งๆ กลางๆ ถ้าเป็นโน้ต ก็คือ โน้ตตัวอะไรก็ได้ ตัวนึงที่เล่นปกติ คงที่ เช่นกัน
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเสียงสามัญ จะพบว่าเสียงมีระดับต่ำกว่า และเป็นระดับต่ำที่สุดในทุกๆเสียง
ฉะนั้นแปลว่า

  • ถ้ามันอยู่ติดกับเอกเหมือนกัน ให้คิดเหมือนเสียงสามัญ คืออิสระ
  • แต่ถ้ามันอยู่กับเสียงอื่น มัน “ควร” ต้องมีระดับต่ำกว่า ตัวก่อนหน้านั้น

    ยกตัวอย่าง เช่นคำว่า “มี-อยู่”
    คำแรก สามัญ คำที่สอง เอก

    ถ้าโน้ตที่เราเล่น เป็น โด-โด จะฟังดูเป็น “มี-ยู” ก็จะขัดนิดหน่อย (แต่รสนิยมบางคนอาจจะให้ผ่าน)

    ถ้าโน้ตที่เล่น เป็น โด-มี คือเคลื่อนที่ขึ้น เป็น “หมี่-ยู้” มันจะเริ่มขัดเยอะละครับ ไม่เวิร์ค

    ถ้าโน้ตที่เล่น เป็น มี-โด จะฟังเป็น “มี้-อยู่” ซึ่งโอเคเลย ไม่ขัด
  • สรุปคือมันมีแนวโน้มที่จะเป็นโน้ตเคลื่อนที่ลงแล้วจะฟังดูดีกว่า เมื่อใช้เสียงเอก

3. เสียงโท

เสียงโท ถ้าเปรียบเทียบกับเสียงสามัญ และเอก จะพบว่าเสียงมีระดับสูงกว่า
เอาแบบง่ายๆคือก็ว่า

  • เมื่อมันอยู่กับระดับเสียงอื่นๆ อาทิ สามัญ หรือ เอก มันควรจะมีทิศทางโน้ตที่ขึ้นสูงกว่า
    .
    ยกตัวอย่าง คำว่า “อยาก-จะ-รู้”
    มันเป็นเสียง เอก-เอก-โท
    ถ้าเมโลดี้เราเป็น โด-เร-มี จะฟังดูลื่น เพราะทิศทางขึ้นไปด้านบน สอดคล้องกัน
    แต่ถ้าเมโลดี้เราเป็น มี-เร-โด จะฟังข่มขืนทันที เพราะจะกลายเป็น “ย้าก-จะ-หรู่” เพราะเมโลดี้สวนทางกับทิศทางของระดับเสียงวรรณยุกต์

    แต่

    เสียงโท เฉพาะตัวของมัน เป็นเสียงที่ไม่นิ่ง เหมือนเริ่มที่เสียงสูงก่อนแล้วมีการ portamento หรือเอื้อนลงในตอนท้าย (ฟังดูคล้ายจะเอื้อนลงมา 1 octave)
    ทีนี้ล่ะถ้าเราจะเอาให้เป๊ะมาก เรื่องจะเริ่มยุ่งละครับ

    ลองสังเกตตัวอย่างคำนี้นะครับ “บ้าน-ห้วย-ไร่”
    ทั้งสามคำนี้เป็นเสียงโทนะครับ (แม้คำว่าไร่ จะเขียนเป็นรูปเอกก็ตาม)
    จะพบว่า เสียงมีตัวโน้ตลักษณะนี้ ” โด๊-โด่ ,โด๊-โด่ , โด๊-โด่ ” คือเป็นสามพยางค์ที่แต่ละพยางค์มีการเอื้อนจาก บนลงล่าง ทุกโน้ต

    นั่นแปลว่า
  • มันจะฟังดูสมบูรณ์ลื่นหูขึ้น เมื่อมันสวมกับโน้ตที่มีเสียงเอื้อนลงตอนท้ายด้วย
    อาทิเช่น “อยาก-จะ-รู้-(อู่)”
    จากเมโลดี้เดิมที่โอเคระดับนึงแล้ว เช่น โด-เร-มี ถ้าเพิ่มเป็น โด-เร-มี-เร หรือ หรือ โด-เร-มี-โด
    จะทำให้ความเป็นภาษาไทย ลื่นหูและสมบูรณ์ขึ้นอีกระดับนึงครับ

4. เสียงตรี

เสียงตรี ถ้าเปรียบเทียบกับเสียงสามัญ เอก และโท จะพบว่าเสียงมีระดับสูงกว่า คือระดับสูงที่สุด
เอาแบบง่ายๆคือก็ว่า

  • เมื่อมันอยู่กับระดับเสียงอื่นๆ อาทิ สามัญ เอก หรือโท มันควรจะมีทิศทางโน้ตที่ขึ้นสูงกว่า

ยกตัวอย่าง คำว่า “ผ่าน-ไป-ล่า-ช้า”
มันเป็นเสียง เอก-สามัญ-โท-ช้า
ถ้าเมโลดี้เราเป็น โด-เร-มี-ฟา จะฟังดูค่อนข้างลื่น เพราะทิศทางขึ้นไปด้านบน สอดคล้องกัน
แต่ถ้าเมโลดี้เราเป็น ฟา-มี-เร-โด จะฟังข่มขืนทันที เพราะจะกลายเป็น “พ่าน-ไป-ลา-ฉ่า” เพราะเมโลดี้สวนทางกับทิศทางของระดับเสียงวรรณยุกต์

แต่

กรณีเดียวกับเสียงโท คือมันมีการเอื้อน เสียงตรี เป็นเสียงที่ไม่นิ่ง เหมือนเริ่มที่เสียงสูงก่อนแล้วมีการ portamento หรือเอื้อนขึ้นในตอนท้าย (ฟังดูคล้ายจะเอื้อนขึ้นไปประมาณสองสามโน้ต)
ทีนี้ล่ะถ้าเราจะเอาให้เป๊ะฟังดูเป็นภาษาไทยที่นุ่มนวลขึ้น เราก็ทำแบบเดียวกับเสียงโท คือมีการเอื้อน แต่เป็นเอื้อนขึ้นเพิ่มอีกโน้ต
.

  • มันจะฟังดูสมบูรณ์ลื่นหูขึ้น เมื่อมันสวมกับโน้ตที่มีเสียงเอื้อนขึ้นตอนท้ายด้วย
    อาทิเช่น “ผ่าน-ไป-ล่า-ช้า-(อ๊า)”
    จากเมโลดี้เดิมที่โอเคระดับนึงแล้ว เช่น โด-เร-มี-ฟา
    ถ้าเพิ่มเป็น โด-เร-มี-ฟา-(ซอล) ออกเสียงเป็น “ผ่าน-ไป-ลา-ช้า-(อ๊า)”
    หรือจะเป็น โด-เร-มี-มี-(ฟา) หรือ ออกเสียงเป็น “ผ่าน-ไป-ลา-ชา-(อ๊า)”
    แบบนี้ก็ได้ทั้งสองแบบครับ
    ก็จะทำให้ความเป็นภาษาไทย ลื่นหูและสมบูรณ์ขึ้นอีกระดับนึงครับ
    .

5. เสียงจัตวา

เมื่ออักษรกลาง ใส่สละเข้าไป และเติมไม้จัตวา จะกลายเป็นเสียงจัตวา
เสียงจัตวาจะพิเศษกว่าเสียงอื่นๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด คือ

  • เสียงตั้งต้น นับระดับยากมากๆ อยู่ได้ตั้งแต่เสียงกลาง ถึงโท ถึงตรี ฉะนั้นทิศทางที่ต่อจากตัวก่อนหน้าจะไม่แน่นอน เป็นได้หมด
  • แต่มีการเอื้อนขึ้น ซึ่งเอื้อนขึ้นเยอะมาก หลาย octave ชัดเจนมาก ทำให้ต้องบังคับใส่การเอื้อนลงไปในโน้ตเลย ไม่ใช่เป็นแค่ optional แบบสองเสียงก่อนหน้านี้
    มันไม่เหมือนเสียงอื่นๆ คือพอต้องมีเสียงจัตวาในเพลง จะต้องโดนบังคับเอื้อนแน่นอน ไม่งั้นจะฟังดูขัด
    .
    ยกตัวอย่าง คำว่า “เธอ-คือ-ความ-ฝัน-(อื์อ)”
    โด-เร-มี-ฟา-(ซอล)
    โด-เร-มี-มี-(ฟา)
    โด-เร-มี-เร-(มี)
    จะสังเกตว่า สามแบบนี้ ได้ทั้งหมด ฟังดูโอเคหมด มันไม่ได้มีฟิกซ์ทิศทางกับตัวก่อนหน้านี้ว่าต้องเป็นแบบไหรแต่แค่โดนบังคับว่าต้องมีเอื้อนขึ้น เท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียง Guideline

เนื่องจากภาษาเป็นสิ่งที่ดิ้นได้ และมีความนิยมใช้เปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรม สภาพสังคม แต่ละยุคสมัย บางสิ่งที่เคยไม่เป็นที่ยอมรับในยุคหนึ่ง พอเวลาผ่านไปอาจเป็นที่ยอมรับได้ ภาษาก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีเพลงไทยจำนวนมากที่อาจไม่ได้ใช้การแต่งที่เป็นไปตามกฏเกณฑ์หรือแนวโน้มของการหลีกเลี่ยงการข่มขืนวรรณยุกต์อย่างที่ได้กล่าวไป แต่ก็ยังใช้กันแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับ ฉะนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นเพียงแนวทาง หรือ Guideline ไม่ใช่กฏข้อบังคับแต่เพียงอย่างใด

ขอให้ทุกคนได้ประโยชน์จากบทความนี้นะครับทั้งหมดนี้เป็นเพียง Guideline

The Real Producer

หากใครกำลังติดปัญหาการแต่งเนื้อเพลงภาษาไทยแล้วเจอปัญหาอย่างที่ว่าไป อยากเรียนรู้อย่างละเอียดขึ้น เราขอแนะนำคอร์สนี้ครับ

VCA009 : Thai Lyric Technique
ปรับแต่งเนื้อเพลงภาษาไทย ให้เมโลดี้ไม่ข่มขืนวรรณยุกต์

https://mkt.verycatsound.academy/tlt1

คอร์สสำหรับ คนที่เจอปัญหานี้ คือแต่งเพลงภาษาไทยแล้วรู้สึกว่ายาก คำไม่ลงตัวกับเมโลดี้ ออกมาฝืนๆ ไม่เพราะ หรือที่เรียกว่า “ข่มขืนเมโลดี้”
หากสนใจ คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านใน link ได้เลยครับ

—————————

VERY CAT SOUND
Compose Your Dream
เราไม่ได้สอนให้คุณทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริง
ถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับ
.
รับ demo คอร์สเรียนฟรี และข้อมูลหลักสูตรเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่นี่
https://mkt.verycatsound.academy/tlt1
ติดต่อจ้างทำเพลง Line @verycatsound
ติดต่อเรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy
โทร. 0856662425

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.