7 สิ่งที่แตกต่าง ระหว่าง Producer มือสมัครเล่น กับมืออาชีพ
นักทำเพลงหลายๆคนพยายามอยากจะทำดนตรีได้อย่างมืออาชีพ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวข้าวกำแพงความต่างระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่นไปได้ หรือบางทีอาจได้รับงาน ได้เงินจากการทำดนตรีแล้วก็จริง แต่ก็ยังมีปัญหาหลายอย่างที่ยังติดอยู่ ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ใช่มืออาชีพ ทีนี้อะไรมันคือความต่างล่ะ? เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นนักทำเพลงมืออาชีพได้
7 สิ่งที่แตกต่างระหว่าง มือสมัครเล่นกับมืออาชีพ
1. มืออาชีพทำได้ทุกแนว ทุกระดับความยาก
ถ้าคุณเล่นดนตรีแค่เป็นงานอดิเรก และเริ่มลองมาทำเพลงหารายได้เสริม อาจพบว่าตัวเองทำได้แค่แนวที่ตัวเองถนัด และมีข้อจำกัดเยอะมาก ยิ่งพวกแนวดนตรีที่ต้องการความรู้ทางดนตรีที่ค่อนข้างมากและยาก อย่าง Jazz หรือ Classic ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงแค่นั้น ดนตรีในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคแห่งการผสมผสานแล้ว จะมีส่วนผสมของดนตรีหลายๆแนวอยู่ในนั้น การที่คุณไม่แตกฉานในดนตรีจนทำได้ทุกแนว มันทำให้คุณรับงานได้น้อยและแคบมากๆ ซึ่งในความเป็นจริงของการทำเป็นอาชีพคุณจะไม่สามารถเลือกแนวที่ลูกค้าต้องการได้
แต่ในขณะที่มืออาชีพจะมีข้อจำกัดน้อยกว่ามาก หรือแทบไม่มีเลย เพราะได้ร่ำเรียนมาอย่างถูกต้องตามระบบ ทำให้ทำดนตรีได้ทุกแนว และทุกระดับความยาก ทำให้สามารถทำดนตรีตอบโจทย์ได้ในทุกๆสถานการณ์ และยังมีวัตถุดิบมากมายจากดนตรีทุกแนว สามารถหยิบเอามาพลิกแพลง เป็นส่วนประกอบในชิ้นงานแต่ละชิ้นตามแต่ความคิดสร้างสรรค์ได้ ฉะนั้นงานที่ออกมาจึงมีความกว้างไกลกว่า ตัวโน้ตต่างๆก็มีความละเอียดลออมากกว่า
2. มืออาชีพแตกฉานในสิ่งที่ทำ
อย่างที่กล่าวว่า นักทำเพลงมือสมัครเล่น อาจจะศึกษาเองแบบคลำๆ มั่วๆ บางคนอาจจะมีพรสวรรค์และทำดนตรีได้เก่งก็จริง แต่ส่วนมากเกิดจากสัญชาติญาณเพียงอย่างเดียว ขาดความแตกฉานรู้จริงในสิ่งที่ทำ ฉะนั้นการพลิกแพลงจะน้อยกว่ามืออาชีพ ปัญหาที่จะเกิดคือ บางทีการที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าส่วนประกอบต่างๆมันมาจากอะไร มีที่มาที่ไปยังไง บางทีพอเกิดการแก้งานก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งท่ีทำไปมันคืออะไร เพราะอธิบายไม่ได้ เกิดจากสัญชาติญาณล้วนๆ
มืออาชีพที่เรียนมาจนแตกฉาน มีความแตกฉานมากกว่า และรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรอยู่ มองเห็นเพลงเป็นโครงสร้าง เหมือนการสร้างบ้าน เวลามีส่วนใดที่ต้องถูกแก้ไข จะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง แล้วสามารถแก้ได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็น พร้อมทั้งพลิกแพลงตอบโจทย์ได้มากกว่า
3. มืออาชีพมีวินัย มีความรับผิดชอบ และรักษาเวลา
อันนี้เป็นเรื่องสากลที่ต้องมีในทุกวงการอยู่แล้ว หากคุณอยากเป็นระดับมืออาชีพไม่ว่าในสายงานใด การมีวินัย มีความรับผิดชอบต่องาน และรักษาเวลา dead line ของงานให้ได้(มากที่สุด) เป็นสิ่งที่เป็นกฏเหล็ก แม้ว่าคุณจะเรียนมาอย่างแตกฉาน หรือไม่ได้เรียนก็ตาม
เมื่อรับปากอะไรไปแล้ว มืออาชีพจะรักษาคำพูด และไม่ทิ้งงาน อยู่รับผิดชอบงานจนเสร็จตามที่ทำข้อตกลงกันไว้ ถ้ามีเหตุที่ทำให้ทำไม่ได้ หรือไม่สามารถส่งงานตามเวลาได้ ก็จะมีการแจ้งกันแต่เนิ่นๆ ไม่หนีงาน ไม่หวงพื้นที่ส่วนตัวจนติดต่อยาก
4. มืออาชีพพิถีพิถันกับงาน
มืออาชีพจะไม่ทำงานเพียงพอผ่าน แต่จะพยายามทำให้มันดีที่สุดในแบบที่มันเป็น ใน Condition ที่กำหนด อาทิ เวลา และงบประมาณ เพราะมืออาชีพจะรู้ดีว่า คุณภาพงานเป็นตัวการันตีและชื่อเสียงที่ทำในอาชีพนี้ และมีผลต่อเนื่องไปตลอดชีวิตการทำงาน
ในบางครั้งข้อจำกัดในการทำงานอาจทำให้เกิดคุณภาพงานที่แย่ลงตาม แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพที่รู้จริงมากกว่า จะสามารถบริหารจัดการให้งานออกมาดูดีที่สุดในเวลาจำกัดได้ และมีความละเอียดลออในงานมากกว่า
5. มืออาชีพสื่อสารง่ายกว่า
สืบเนื่องมาจากความแตกฉานในดนตรี ทำให้มองดนตรีทุกอย่างเป็นองค์ประกอบและรูปธรรม มืออาชีพจะพยายามสื่อสารทุกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เข้าใจง่าย และตรงกันทั้งสองฝ่าย เพื่อจะได้ทำชิ้นงานได้ตรงความต้องการของเจ้าของงานได้มากที่สุด
ในขณะที่มือสมัครเล่นที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าส่วนประกอบต่างๆมันคืออะไร สัมพันธ์กันยังไง เรียกว่าอะไร อาจจะพยายามใช้ศัพท์เทคนิคที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ เพื่อโชว์ให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นมืออาชีพ กลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ แต่มืออาชีพที่เหนือชั้นจริงๆแล้ว จะพยายามใช้ศัพท์ที่เรียบง่าย และสื่อสารกันได้เข้าใจง่ายระหว่างผู้จ้างที่ไม่มีความรู้ดนตรีเลยกับคนทำงาน โปรดิวเซอร์ที่เก่งจะเป็นกาวเชื่อมที่ทำให้งานออกมาราบลื่นทุกๆฝ่าย
6. มืออาชีพไม่มีอีโก้ และแยกแยะได้
มืออาชีพต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ต้องมี Service Mind ต่อให้เป็นนักออกแบบสายไหน แต่ถ้าเป็นงานรับจ้าง คุณก็คืออาชีพบริการอาชีพหนึ่ง การทำดนตรีก็คืออาชีพออกแบบ หรือ Designer แบบหนึ่งครับ สิ่งที่คุณทำคืองานบริการทำตามสั่ง ทำตามโจทย์ที่ลูกค้าตั้ง
มือสมัครเล่นอาจจะแยกไม่ออกว่า อันไหนคือการทำงานเพื่อตอบสนองความเป็นศิลปินของตัวเอง ส่วนอันไหนคือการทำงานเพื่อสังคม เพื่อคนอื่น หรือเพื่อลูกค้า แต่มืออาชีพจะแยกมันขาดออกจากกันได้ และไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวมาตัดสิน เมื่อไม่ได้ทำชิ้นงานเพื่อให้ตัวเองชอบ แต่ทำเพื่อตอบโจทย์ให้ลูกค้าหรือศิลปินคนอื่น มันคืองานเชิงพาณิชย์ เป็นงานคนละแบบกับงานศิลปะ ที่ทำในฐานะที่ตัวเองเป็นศิลปิน ฉะนั้นจึงตัดเรื่องอีโก้ออกไปได้เลย
คำว่า “เพลงดี-เพลงดัง-เพลงที่ชอบ” ทั้งสามอย่างนี้เป็นคนละอย่างกัน อาจสัมพันธ์กันหรือไม่ก็ได้ เป็นสิ่งที่มือโปรดิวเซอร์มืออาชีพควรเข้าใจ และแยกแยะได้ เป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ มันคือการวางตัวเป็นกลาง วางอีโก้ของตัวเองลง และไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คุณมีสิทธิที่จะชอบหรือไม่ชอบอะไรได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก คุณมีสิทธิที่จะเสนอสิ่งที่คุณชอบหรือคุณเห็นว่าดีให้ลูกค้าเลือกได้ แต่ลูกค้ามีความชอบของตัวเองหรือมีความเห็นของตัวเองว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี และมีสิทธิที่จะเลือกสิ่งที่คุณอาจไม่ชอบหรือไม่เห็นด้วยเช่นกัน และคุณก็ต้องเข้าใจและเคารพตรงจุดนั้น
7. มืออาชีพทำมากกว่าพูด
คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มืออาชีพมักเป็นกันคือ การพูดไม่เก่งเท่าไร ในขณะที่มือสมัครเล่นบางคนอาจพูดเก่ง ขายของเก่งกว่ามาก ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานใดสายงานหนึ่ง มักจะเป็น introvert ไม่ค่อยคุยโวในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่คนที่ไม่รู้จริง อาจพอรู้ประมาณนึง แต่มีความมั่นใจมาก อาจเห็นการแสดงออกที่มั่นใจ ฉะฉาน มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคนที่รู้จริง ซึ่งมักจะพูดน้อยกว่า แต่พูดตรงจุด ไม่อ้อมค้อม และซื่อสัตย์ สิ่งไหนทำได้ก็บอกว่าได้ อันไหนไม่ได้ก็คือไม่ได้ สิ่งไหนไม่แน่ใจก็บอกว่าไม่แน่ใจ สิ่งไหนไม่รู้ก็บอกตรงๆว่าไม่รู้ ตรงๆ คุณสมบัตินี้ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคยกับคนมากพออาจมองไม่ออก และเข้าใจผิดคล้อยตามไปได้ว่า คนพูดเก่งบางคน มั่นใจมากๆ คือดูเป็นมืออาชีพ
แต่สิ่งที่ผมได้กล่าวไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเสมอไป เป็นเพียงแนวโน้มส่วนใหญ่เท่านั้นเองครับ มืออาชีพที่พูดเก่ง มั่นใจด้วย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีครับ
ถ้าอยากเป็นมืออาชีพ
อยากรู้จริง แตกฉานในดนตรี แนะนำหลักสูตร The Real Producer ของทาง VERYCATSOUND จะสร้างคุณให้เป็นมืออาชีพ ต่อยอดให้คุณเป็นตัวจริงในวงการดนตรีได้อย่างมั่นคง สนใจติดต่อได้ที่ Line : @verycatacademy
—————————————————————————
The Real Producer
REAL / DEEP / EXCLUSIVE
