จากภาพในหัวลูกค้า สู่เพลงจริง! 5 วิธีรับมือบรีฟงงๆ
เคยเจอบรีฟงง ๆ ไหม? ลูกค้าอธิบายมาแต่เรากลับไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เพราะภาพในหัวเขาไม่ตรงกับภาพในหัวเรา ทำไปก็แก้หลายรอบ งานไม่จบเสียที บทความนี้เลยอยากแชร์ 5 วิธีที่จะช่วยแปลงภาพในหัวลูกค้า ให้กลายเป็นเพลงจริงได้อย่างราบรื่น
จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของดนตรี แต่สำคัญที่เรื่องการสื่อสาร ว่าจะทำอย่างไรให้เข้าใจตรงกันมากที่สุด
เมื่อได้บรีฟมา สิ่งแรกคืออย่าเพิ่งเชื่อทุกคำที่ลูกค้าพูดทันที ต้องตีความให้ชัด เช่น ถ้ามีคนบอกว่าอยากได้เพลงป๊อปเท่ ๆ มีกลิ่นอายร็อคนิด ๆ เราต้องถามต่อว่า “เท่แบบไหน” หรือ “นิด ๆ แค่ไหน” เพราะแต่ละคนตีความไม่เหมือนกัน ลองถามว่าใกล้เคียงกับเพลงไหน มีศิลปินหรือแนวที่ชอบเป็นพิเศษไหม
ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีศัพท์ดนตรีติดตัว เขาอาจพูดได้แค่สิ่งที่นึกออก เช่น “เร็วขึ้น” ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึง tempo แต่หมายถึงความรู้สึกสนุกก็ได้ การโยนตัวอย่างเพลงมาให้เขาเลือก แล้วเราหาจุดร่วม เช่น คอร์ด เครื่องดนตรี หรือกรูฟ จะช่วยให้ตีโจทย์ได้แม่นยำกว่า
ดนตรีเป็นเรื่องนามธรรม ถ้าไม่ทำให้เป็นรูปธรรม ความเข้าใจก็จะคลาดเคลื่อนง่าย การมี reference จึงสำคัญมาก เช่น ถ้าลูกค้าบอกว่าอยากได้ “ป๊อปเท่ ๆ” เราก็อาจตีความว่าเท่คือการใช้คอร์ดนอกคีย์ หรือถ้าเป็น “ร็อคนิด ๆ” ก็อาจแปลว่ามีการใส่พาวเวอร์คอร์ดบางท่อน
การให้ลูกค้าเลือกจากเพลงที่เรานำเสนอ จะช่วยให้เรารู้ว่าเขาชอบ “อะไร” ในเพลงนั้น อาจเป็นกรูฟ คอร์ด หรือเสียงเครื่องดนตรี จากนั้นค่อยคอนเฟิร์มว่าเราจะใช้แบบนี้ ตกลงไหม แบบนี้จะลดความเสี่ยงการทำงานผิดทางไปได้
อีกหนึ่งจุดที่ควรสื่อสารคือข้อจำกัด ทั้งเรื่องงบประมาณ เวลาทำงาน และจำนวนรอบการแก้ไข เช่น งบเท่านี้แก้ได้กี่รอบ เวลาขนาดนี้ทำได้แค่ขั้นตอนไหน หรือถ้าผ่านการอัดจริงแล้วจะไม่สามารถกลับไปแก้ขั้นตอนดีไซน์ใหม่ได้ง่าย ๆ
บางครั้งลูกค้าอยากได้สิ่งที่ย้อนแย้งกัน เช่น เพลงแร็ปที่ช้ามาก ๆ แต่อยากให้ฟังดูสนุก มันอาจทำไม่ได้ในเชิงดนตรี เราต้องกล้าที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจข้อจำกัด เพื่อป้องกันปัญหาตามมาทีหลัง แต่บางครั้งในหัวของลูกค้าอาจจะมีภาพอยู่แล้ว ก็ต้องพยายามถามให้ชัดเจน อย่าให้ความรู้ทางดนตรีของเรามาฟันธงว่ามันเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งและไม่มีทางทำได้
ลูกค้าจะรู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้น ถ้าเราให้เขาเลือกจาก option ที่เรานำเสนอ เช่น เสนอเสียงกีตาร์ 3 แบบ Pad หลายแบบ แล้วให้เขาเลือกสิ่งที่ชอบ พอมีการเลือก ลูกค้าจะรู้สึกว่างานเป็นของเขาจริง ๆ และเราก็ทำงานง่ายขึ้นเพราะเห็นทิศทางชัดขึ้น
การทำแบบนี้เหมือนโยนหินถามทางในช่วงแรก แล้วค่อย ๆ เก็บ feedback ไปเรื่อย ๆ และมาถูกทางขึ้น จนสามารถสโคปแนวทางได้ชัดและได้งานที่ลงตัว
บางครั้งลูกค้าอาจอยากได้เพลงที่เหมือน reference เป๊ะ ๆ เราต้องกล้าบอกความจริงว่าเหมือนได้แค่ไหน เพราะถ้าเหมือนเกินไปมันจะเสี่ยงต่อการลอกงาน ควรอธิบายอย่างมืออาชีพว่าส่วนไหนทำได้ ส่วนไหนควรปรับเพื่อให้งานมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และไม่เสี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ในอนาคต เพราะมันส่งผลเสียได้ทั้งตัวเพลงที่ไม่มีเอกลักษณ์ ไปจนถึงเรื่องกฏหมายได้เลย
นี่เป็น 5 ข้อ ที่ช่วยให้เราเปลี่ยนภาพในหัวจากลูกค้ามาสู้งานเพลงจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครที่กำลังรับงาน ลองเอา 5 ข้อนี้ไปปรับใช้ในการรับงานจริง เพื่อให้ได้งานออกมาดีที่สุดได้ครับ
สำหรับใครที่สนใจอยากทำเพลง เรามีหลักสูตร The Real Producer ที่รวมรวบคอร์สที่ลึกและตรงประเด็นในการทำเพลงที่สุด ช่วยให้คุณเป็น producer ระดับมืออาชีพได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ
สนใจเรียนทำเพลงอย่างจริงจังกับ VERYCATSOUND?
.
VERYCATSOUND Membership เริ่มต้นเส้นทางโปรดิวเซอร์ของคุณด้วยคลาสเรียน Exclusive รายเดือนในราคาที่เข้าถึงได้
► ดูรายละเอียดและสมัครเลย: https://verycatsound.com/join-member/
.
หลักสูตรเต็ม The Real Producer “ลึกและตรงประเด็น” สำหรับผู้ที่พร้อมจะไปให้สุดทาง สู่การเป็นโปรดิวเซอร์มืออาชีพอย่างเต็มตัว
► สอบถามหลักสูตร: LINE Official @verycatacademy คลิก: https://line.me/ti/p/@verycatacademy
ติดต่อจ้างทำเพลง / อื่นๆ
► LINE: @verycatsound
► โทร: 085-666-2425
#VeryCatSound #TheRealProducer #สอนทำเพลง #เรียนทำเพลง #โปรดิวเซอร์ #jobs #musicproducer #song