Voice Over ต่างจาก Narration ยังไง? เลือกแบบไหนให้ตรงจุด

Voice Over ต่างจาก Narration ยังไง? เลือกแบบไหนให้ตรงจุด

Share via:

Krissaka Tankritwong

เวลาทำวิดีโอเพื่อสื่อสารแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นงานโฆษณา เปิดตัวผลิตภัณฑ์ หรือแนะนำองค์กร

หนึ่งในองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ก็คือ “เสียงบรรยาย”

ซึ่งหลายคนอาจคุ้นกับคำว่า Voice Over และ Narration

บางทีก็ใช้แทนกันไปโดยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ทั้งสองแบบนี้ต่างกัน และส่งผลต่ออารมณ์ของวิดีโอโดยตรง

พวกเราได้ร่วมทำเสียงให้กับหลายแบรนด์ ตั้งแต่โฆษณาที่ต้องการความรู้สึกเท่ หรู มีสไตล์

ไปจนถึงวิดีโอองค์กรที่ต้องการความน่าเชื่อถือและเข้าใจง่าย

จึงอยากมาเล่าให้ฟังว่า Voice Over กับ Narration ต่างกันตรงไหน

และเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของคุณที่สุด

Voice Over เสียงที่เพิ่มอารมณ์ ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมด

Voice Over คือเสียงบรรยายที่ไม่ได้อธิบายทุกอย่าง

แต่มักใช้สื่อสาร “ความรู้สึก” หรือ “ภาพจำ” ที่เราต้องการให้คนรู้สึกตาม

ลองนึกภาพโฆษณารถที่มีภาพรถวิ่งบนทางหลวง

พร้อมเสียงที่พูดว่า “ปลดปล่อยพลังในตัวคุณ”

นั่นคือตัวอย่างของ Voice Over

ไม่เล่าเรื่อง แต่สร้างอารมณ์ให้รู้สึกอยากสัมผัสแบรนด์

เหมาะกับงานที่เน้นสร้างภาพลักษณ์ เช่น โฆษณาแบรนด์, วิดีโอพรีเซนต์สั้น, หนังเปิดงาน

เสียงแบบนี้จะพูดน้อย แต่ต้องสื่อสารมาก

จึงต้องเลือกนักพากย์ที่จับอารมณ์เก่ง สื่อได้แม่น โดยไม่ต้องอธิบายยาว

Narration: เสียงที่เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ

Narration คือลักษณะเสียงบรรยายที่มีโครงเรื่องชัดเจน

เหมือนมีคนมาเล่าให้ฟังว่าเรื่องนี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้น มีที่มาอย่างไร

เช่น วิดีโอแนะนำองค์กรที่เริ่มจาก

“บริษัทของเราเริ่มต้นในปี 2005 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะ…”

หรือวิดีโออบรมที่ค่อย ๆ อธิบายแต่ละหัวข้อให้เข้าใจ

Narration เหมาะกับงานที่ต้องการให้ผู้ชมเข้าใจข้อมูลครบถ้วน

เช่น วิดีโอแนะนำบริษัท, สื่ออบรมภายใน, รายงานผลการดำเนินงาน, สารคดี หรือวิดีโอการเรียนการสอน

เสียงแนวนี้ต้องชัด จังหวะดี และเล่าเรื่องได้น่าเชื่อถือ

ไม่จำเป็นต้อง “เท่” หรือ “มีลูกเล่น” มาก

แต่ต้องทำให้คนฟังเข้าใจและอยากฟังต่อจนจบ

เลือกแบบไหนให้ตรงจุด

หลักการที่พวกเราใช้ตัดสินใจง่าย ๆ คือ

ถ้าอยากให้คน “เข้าใจ” ควรใช้ Narration

แต่ถ้าอยากให้คน “รู้สึก” ควรใช้ Voice Over

วิดีโอบางประเภทอาจใช้ทั้งสองแบบผสมกันก็ได้

เช่น เปิดด้วย Voice Over เพื่อดึงอารมณ์ แล้วตามด้วย Narration เพื่ออธิบายรายละเอียด

วิธีนี้มักใช้ในงานระดับมืออาชีพที่ต้องการทั้งภาพลักษณ์และข้อมูล

ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน สิ่งสำคัญคือเสียงที่เลือกใช้ต้อง “สอดคล้องกับแบรนด์”

ทั้งในแง่ของน้ำเสียง จังหวะ ภาษา และเนื้อหา

เพราะเสียงมีพลังในการเปลี่ยน perception ได้จริง

ในบางครั้ง เสียงเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้คนตัดสินใจเชื่อแบรนด์ หรือรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น

Voice Over กับ Narration อาจใช้เสียงเหมือนกัน แต่หน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

Voice Over สร้างภาพจำและอารมณ์

Narration อธิบายข้อมูลให้เข้าใจ

และทั้งสองแบบต่างก็เป็น “ตัวช่วยสำคัญ” ที่เสริมวิดีโอให้ทรงพลังมากขึ้น

ถ้าคุณกำลังจะเริ่มโปรเจกต์วิดีโอใหม่ ลองตั้งคำถามนี้ก่อนเริ่มเขียนสคริปต์

คุณอยากให้คนดูเข้าใจเรื่อง… หรือรู้สึกบางอย่างกับแบรนด์ของคุณ?

คำตอบนั้นจะนำไปสู่ “เสียง” ที่เหมาะสมที่สุดกับจุดประสงค์ของคุณเอง

เพราะในโลกที่เสียงคืออีกหนึ่งเครื่องมือสื่อสารที่เข้าถึงใจคนได้อย่างรวดเร็ว

การเลือกเสียงให้ถูก อาจเป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่สร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง

———————

The Real Producer

REAL / DEEP / EXCLUSIVE

.

 VERY CAT SOUND : Compose Your Dream

.

สร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพระดับสากล

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ 

Line ID : @verycatsound

Tel : 0839192945

——————

#logicpro #apple #musicproduction #jingle #musicforbusiness #voiceover #narration #branding

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.