January 31, 2023

7 ประเภทของการก๊อป (เพลง) ที่ไม่ใช่การก๊อปเสมอไป ผมเคยเขียนเรื่องนี้แล้วเมื่อหลายปีก่อน (เกือบสิบปีแล้ว) ถ้าใครที่เคยอ่าน Content ของ VERYCATSOUND ในช่วงแรกๆ “เพลงไหนก๊อปหรือไม่ก๊อป?” ตอนนั้นนับว่าเป็น Content ดนตรีแรกๆที่คนแชร์กันเยอะมากๆ ที่พูดถึงประเด็นการ ก๊อปเพลง ในมุมมองของคนทำเพลง ที่มีต่อนักวิจารณ์เพลง ตอนนี้ผ่านมาเป็นยุค 2023 โลกมันก็เปลี่ยนไปอีกขั้นนึง สมัยก่อนเพลงยังไม่เยอะเท่าปัจจุบัน และวัฒนธรรมฮิพฮอพยังไม่เป็นที่แพร่หลายอย่างตอนนี้ ตอนนี้คุณจะพบว่า ฉะนั้นการพิสูจน์ว่าเพลงไหนก๊อปเพลงไหน มันจึงเป็นเรื่องยากกว่าเมื่อก่อนมากๆ กฎเรื่องห้ามซ้ำโน้ตเกิน 6-7 ตัวนั่น ใช้ไม่ได้เสมอไปเสียแล้ว กลายเป็นว่าต้องมองบริบทรอบตัวหลายๆอย่าง ที่จะนำไปสู่เจตนาของผู้สร้างงาน สิ่งที่ยังใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าเพลงไหนก๊อปไม่ก๊อป ที่ใช้ได้ผลดีที่สุด ก็คือเจตนานี่แหละครับ เข้าข่ายก๊อปมีแบบไหนบ้าง ประเภทของงานก๊อปไม่ใช่มีแต่การ copy ตรงๆ...

ที่จริงการทำดนตรี มันจะมีศัพท์อย่างเป็นทางการว่า Music Arranging หรือ การเรียบเรียงดนตรี หรือการเรียบเรียงเสียงประสานถ้าในลักษณะของการทำเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง ก็อาจจะเรียกว่า Music Composing หรือการประพันธ์ดนตรีได้ด้วยหรือถ้าในศัพท์ของวงการภาพยนตร์ ,โฆษณา มักเรียกการทำดนตรีประกอบว่า Music Score หรือ เรียกสั้นๆว่า ทำสกอร์อันนี้เป็นสิ่งที่คนในวงการรู้กัน และใช้กันอย่างแพร่หลายมายาวนานแต่ระยะหลังๆ ในวงการดนตรีของไทย (ช่วงราวๆ 2017 เป็นต้นมา) มีศิลปินและนักทำเพลงรุ่นใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนว Hiphopถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการมาก่อนช่วงปีดังกล่าว คุณต้องเคย งง กับศัพท์คำนี้แน่นอน คือ พวกเขาเหล่านั้น นิยมเรียกดนตรีว่า “Beat” กัน “พี่ครับทำบีทให้หน่อย” เราคงเคยเห็นคนนิยมใช้คำว่าบีทกันในช่วงที่ผ่านมา โดยมากมักพบเห็นในวงการ hiphop และด้วยกระแสความบูมของดนตรีแนวนี้...

หน้าที่นี้ตกลงใครทำกันแน่ปัญหาสากลที่ทุกคนที่ทำเพลงต้องเจอ ปกติแล้วเวลาคุณไปหาเรียนทำเพลง วิชา Mix Master โดยทั่วไป สิ่งที่จะเจอคือ การเรียนรู้เรื่องการนำ Track ที่ทำเรื่อง Music Arranging หรือ เรียบเรียงดนตรีมาแล้วจากขั้นตอนที่แล้ว มาจัดการเรื่อง Sound อาทิเช่น การใส่ EQ , Compress ต่างๆ เพื่อนำไปผสมเสียงให้ออกมาลงตัว ไพเราะ หรือถ้าขั้นตอนนี้คุณไม่ได้อยากทำเอง คุณก็สามารถไปจ้าง Sound Engineer ให้ทำให้คุณได้เช่นกัน แต่ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ คุณอาจทำ Arranging หรือเรียบเรียงดนตรีมาด้วยตัวเองเสร็จแล้ว แต่ซาวด์ยังฟังดูไม่ดีเท่าไร ฟังดูเหมือนคาราโอเกะ เสียงแข็งๆ แล้วคุณก็รู้สึกว่าหมดหน้าที่คุณแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวพอส่งไปให้ Sound Engineer...

ถ้าคุณกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ นี่คือคำแนะนำที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า “อย่ากลัวที่จะก๊อป หรือเลียนแบบ” หลายๆคนกลัวการก๊อปจนมากเกินไป จนขึ้นสมอง รู้สึกว่าทุกอย่างที่คิดจะต้องเป็น Original คุณกลัวซ้ำกับคนอื่น กลัวเหมือนคนโน้นคนนี้ ก่อนอื่นเลย ผมอยากบอกว่า 1. มันไม่มีอะไรใหม่จริง หรือ Original จริงนานมากแล้วครับ เพราะเราอยู่ในโลกยุคหลัง Post Modern ที่ศิลปะแทบทุกสิ่งทุกอย่างทุกแนวถูกคิดออกมาแทบหมดทุกรูปแบบ จนมันเวียนแล้ว ตอนนี้สิ่งใหม่เกิดจากการหยิบยืม Element จากสิ่งเก่าๆ Original กลับมาใช้ใหม่ ทีนี้มันอยุ่ที่ว่า ใครจะทำออกมาได้เก่งกาจ ฉลาด และลงตัว น่าสนใจมากกว่ากัน 2. ต่อให้คุณบอกไม่ว่าไม่ได้ก๊อป คือด้นขึ้นมาเอง มันก็ไม่แปลกที่จะไปเหมือนหรือคล้ายกับอะไรที่เคยมีอยู่แล้วอยู่ดี เพราะทางเมโลดี้ ทางคอร์ด มันก็ไม่ได้มีรูปแบบเยอะนักถ้าคุณทำเพลง pop...

มีวิชาสอนอะไรบ้าง? ในหลักสูตร THE REAL PRODUCER หลักสูตร THE REAL PRODUCER “0-100 สู่อาชีพโปรดิวเซอร์” ไม่ใช่แค่สอนทำเพลงเพื่อให้แค่พอทำเป็นเฉยๆ แต่เป็นความรู้ระดับ Premium ที่หาเรียนได้ยาก ที่ไม่ใช่แค่ระดับ Basic ที่พาคุณหลุดพ้นจากระดับพื้นฐาน ไปสู่ขั้นกลาง และขั้นสูง จนสามารถประกอบอาชีพ Music Producer , Composer , Arranger หรือนักทำเพลง ทำดนตรี ได้อย่างเชี่ยวชาญ และเก่งกาจ รู้จริง รู้ลึก ในหลักสูตรจะแบ่งเป็นทั้งหมด 6 Level และ ใน 1 Level...

มีศัพท์ทางดนตรีในโลกนี้มากมายที่ใช้จำกัดความแนวดนตรีต่างๆ ไม่ว่า Rock , Pop , Classic , Hip-hop เป็นต้น แต่โลกเรามันไม่ได้มีแค่แนวที่ดังๆไม่กี่แนว ที่จริงแล้วมันมี Sub Genre อีกสารพัด อย่างแค่ Rock อย่างเดียว ยังแยกเป็น Hard Rock , Soft Rock , Heavy Metal , Death Metal ต่างๆนานาได้อีก เอาเป็นว่า ถ้าคุณคิดว่ามันไม่เกิน 100 คือคุณคิดผิด ที่จริงอาจจะมีถึงพันเลยก็ได้ และบ่อยครั้งที่ศัพท์หรือนิยามดนตรีหลายๆตัวที่คุณน่าจะเคยได้ยินบ่อยๆ แต่เกิดความสับสนแน่ๆ หนึ่งในนั้นอย่างเช่นคำว่า “Indie”...

สิ่งที่คนทำเพลงหลายๆคนอาจจะเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือ การแบ่งแยกแนวดนตรี หรือการที่คิดว่า ในเมื่อชอบเพลง pop แล้วทำไมต้องไปสนใจสิ่งที่เป็น classic หรือ jazz ล่ะ? ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะดนตรีแนวไหน มันคือสิ่งเดียวกันทั้งหมด ทฤษฎีดนตรีตัวเดียวกัน โน้ตและสเกลมาจากพื้นฐานดนตรีสากลเหมือนกัน มันสามารถหยิบยืมใช้กันได้หมด ดนตรี Classic ที่ว่ามา แท้จริงแล้วมันก็คือต้นกำเนิดของดนตรีทุกแนวในโลกนี้ ส่วนดนตรี Jazz คือยุคต่อมาจาก Classic ที่มีการพัฒนาวิทยาการดนตรีเพิ่มเข้าไปอีก โดยมีความยากขึ้น ลึกซึ้งและซับซ้อนเข้าไปอีก ส่วนดนตรี pop คือรูปแบบของการตัดทอนดนตรีให้เรียบง่าย เข้าถึงง่าย แต่ทีนี้ในช่วงหลายสิบปีที่กำเนิดดนตรี pop มา ความรู้ทางดนตรีถูกย่อยทำให้เข้าถึงง่ายก็จริง แต่ก็ขาดความลุ่มลึก กระบวนท่าต่างๆที่เคยถูกคิดค้นขึ้นในยุคของ Classic กับ Jazz...

เคยได้ยินประโยคที่ไอสไตน์พูดใช่ไหมครับว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผิดครับ ในหลายๆเรื่อง แต่ในเรื่องของการทำเพลงล่ะสิ่งไหนกันแน่ที่สำคัญ แน่นอนว่า จินตนาการสำคัญ เพราะถ้าไม่มีจินตนาการ คงไม่เกิดเพลงใหม่ๆขึ้นมาในโลก มันทำให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ เมโลดี้ใหม่ๆ รสชาติใหม่ๆทางดนตรีที่แปลกแตกต่างออกไป ถ้าอย่างนั้นมีจินตนาการอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วรึเปล่า? แล้วความรู้ล่ะ? จำเป็นต้องมีมั้ย? หลายๆคนเป็นโรคกลัวการศึกษา “ทฤษฎีดนตรี” ด้วยหลายเหตุผล บางคนก็รู้สึกว่ามันยาก ซับซ้อน และไม่จำเป็น บางคนก็บอกว่าถ้ารู้จะทำให้เสียฟีลดนตรี หรือจินตนตาการไป ผมอยากบอกเอาไว้ก่อน ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้ คือเห็นมาแล้วทั้งคนทำเพลงที่ทั้งรู้และไม่รู้ทฤษฎีดนตรี ว่ามันไม่จริงครับ ไม่รู้ทฤษฎีไม่ได้แปลว่าไม่มีกรอบ ผมอยากให้ผู้อ่านลองคิดตามนะครับ ตอนที่เราเล่นดนตรี เอาง่ายๆว่าคือตีคอร์ดกีตาร์ร้องเพลง แม้เราจะบอกว่าไม่เคยเรียนทฤษฎีดนตรีอะไรเลย และไม่อยากรู้ด้วย เพราะไม่อยากติดกรอบ แต่สิ่งที่เราเล่นก็คือ คอร์ด มันเกิดจากโน้ต 3 ตัวประสานกัน ซึ่งเป็นโน้ตที่เค้าคิดมาให้แล้วว่ามันเข้ากัน...