Tokyo1Month Day03 : ตามรอย Lost in Translation กับศาลเจ้า Meiji-Jingu

Share via:

Krissaka Tankritwong

เที่ยวโตเกียว 1 เดือน 1 แสนบาท Day 3

ตื่นมาค่อนข้างสาย สิบเอ็ดโมง ออกไปลุย

แต่ก่อนอื่น เติมพลังโดย ซื้อขนมปังยากิโซบะกินที่ Family Mart ก่อน เพราะอยากรู้มานานละว่ารสชาติเป็นยังไง จำจากในการ์ตูน ปริศนาปลาทอง ตอนเด็กๆ ซึ่งแม่งก้อไม่ได้อร่อยอะไร รสชาติไม่ได้แปลกจากที่คิด… แถมคุณค่าอาหารไม่ได้ดีเล้ยยยย เนื่องจากมีแต่แป้งๆๆและไขมัน หามีโปรตีนไม่

ขนมปังยากิโซบะ

ขนมปังยากิโซบะ รู้ละว่ามันไม่ได้อร่อย… (ภาพประกอบจากเวบอื่น)

เนื่องจากยังเห่ออยู่ เพิ่งมาถึงได้ไม่กี่วัน เลยบ้าถ่ายรูปเป็นพิเศษ ทีนี้ตอนที่จะไปถ่ายรูปแถวๆทางรถไฟ เพื่อจะให้ได้ภาพที่ต้องการ ก็เลยต้องจำใจยืนขวางทางเดินคนบ้าง (แต่ทางเดินมันก็ไม่ได้แคบอะไรมากอ่ะนะ) เจอคนมารยาททรามเดินมาปัดกล้องเพราะเราขวางทางเดิน อืม… คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้นิสัยดีไปหมด คนเหวี่ยงๆก็มีสินะ

แม้นี่จะเป็นทริปแสวงดนตรี แต่ไหนๆมาทั้งที ก็ต้องมีเที่ยวแบบคนปกติกันบ้าง จะได้ครบรสชาติ หลังจากที่เมื่อวานลุยย่านโคตรแห่งความเจริญไปแล้วอย่าง ชิบุยะ วันนี้เลยมาพักเบรกหาความสงบสลับกันบ้าง หลังจากถ่ายรูปเสร็จ จึงเดินต่อไปเรื่อยๆยัง สวนโยโยงิ เพื่อจะทะลุไป ศาลเจ้าจิงกุมาเอะ

สวน Yoyogi

 สวน Yoyogi 2

    นี่คือสวนที่ผมมาเดินหลงข้างๆนี้คืนแรกนี่แหละ สรุปคือมันเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของคนกรุงฯ ข้างในนั้นร่มรื่นย์ งดงาม ต้นไม้แปลกๆเพียบ เสียงจั๊กจั่นปกคลุมทั่วบริเวณ แทบไม่น่าเชื่อว่าห่างไปไม่เท่าไรเป็นย่านที่โคตรจะเมืองแบบ ชิบุยะ กับ ฮาราจุกุ มีต้นซากุระที่พอถึงฤดูคนก็จะนิยมมาปูเสื่อชมซากุระกันแบบในการ์ตูนด้วย แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ไม่ใช่หน้าซากุระ ซึ่งผมพยายามดันทุรังหาต้นซากุระ แต่ก็หาไม่เจอ เดินอ้อมแล้วอ้อมอีก เจอแต่ป้ายห้ามเข้าเพราะมีการฉีดยาฆ่ายุง มันมียุงลายระบาดพอดี คนญี่ปุ่นดูแตกตื่นกลัวกับไข้เลือดออกมาก มันจะกลัวไรกันนักหนา แถวบ้านกูเพียบ ยังไม่เคยเป็นไข้เลือดออกเลยสักครั้ง…

   คือหลงอยู่ข้างใน พอจะเดินทะลุไปจิงกุมาเอะก็ทางปิดอีก ต้องเดินอ้อมไปเจอที่จัดงานโอลิมปิกสมัยก่อนมั้ง คือ National Olympics Youth Centre ซึ่งตอนนี้เป็นอะไรแล้วไม่รู้ เหมือนเป็นที่เช่าสำหรับจัดกิจกรรมเด็ก หรือหอพักนักกีฬานี่แหละ เดินจนไปสุดมันก้อห้ามทะลุ ก้อเลยต้องเดินอ้อมอีก กว่าจะหาทางเข้า ศาลเจ้าจิงกุมาเอะเจอ ล่อไปบ่ายสอง

    ทางเข้าก่อน จิงกุมาเอะ จะมี pony park เป็นสวนเลี้ยงม้า น่ารักดี น่าจะเป็นคล้ายๆ ที่ๆเปิดให้คนเข้ามาชมการแสดงม้า เปิดเพลงคลาสสิคเข้ากันอย่างดีมาก คิดมาดี ละเอียดกระทั่งการเปิดเพลง

ตามรอย Lost in Translation ที่ศาลเจ้า Meiji-Jingu

บริเวณศาลเจ้าเมจิจิงกุ 4

    พอเข้า จิงกุมาเอะ ก็หลงอีกรอบ เห็นป้ายไปมิวเซียมด้านใน พอพยายามเดินไปจนถึง ไปรากฎว่ามันปิดอีก แต่ระหว่างทางก็สงบ โอ่อ่าแบบธรรมชาติ และงดงามไม่แพ้สวนโยโยงิเลย

    เดินจนถึงศาลเจ้า กว่าจะจุดพี๊คจริงๆ คือ งดงามมาก คือคุ้นๆนะที่นี่… น่าจะใช่ละ… น่าจะเป็นที่เดียวกับที่ใช้ถ่าย lost in translation ฉากที่สกาเลตเดินในศาลเจ้า กรี๊ดดดดด ดีใจ ได้ตามรอยโดยบังเอิญ แต่วันนี้โล่งๆไม่มีการประกอบพิธีกรรมอะไร มีที่ตักน้ำล้างมือและบ้วนปาก มีร้านขายเครื่องรางและของหลอกนักท่องเที่ยว เลยโดนหลอกไปซะสองอัน และขายป้ายอธิษฐาน ที่เอาไว้แขวนที่หน้าศาลเจ้า โดนไปอีกดอก

    ขึ้นไปบริจาคเงินและอธิษฐานหน้าศาลเจ้า ตามขั้นตอนที่เคยอ่านมา แต่พอลองสังเกตดูคนอื่นๆที่เป็นคนญี่ปุ่น ก็พบว่า นี่มันทำไม่เหมือนกันสักคนนี่หว่า… บางคนตบมือสองทีบ้าง ทีเดียวบ้าง บางคนพนมมือ… เอ้อ… โอเค เข้าใจละว่าไม่ซีเรียสนี่หว่า กูมั่วด้วยคนละกัน เสร็จแล้วเดินกลับออกมาทางออกเจอ มิพิพิธภัณฑ์อีกอัน เป็นรวมของใช้ของจักรพรรดิในยุคเมจิ มี shop ขายของหลอกนักท่องเที่ยวตามสูตร

    ตอนจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ป้าที่ดูแลอยู่บอกว่า ห้ามนำกล้องถ่ายรูปเข้า พอเรากำลังทำท่าจะเก็บเค้าก็บอกว่าไม่ต้องหรอกหนู ขึ้นไปได้เลยๆ คือคนญี่ปุ่นเค้าเชื่อใจในเกียรติและสัจจะของกันและกันจริงๆ ว่า ถ้าบอกกันแล้วว่าห้ามถ่ายเราก็จะไม่ถ่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ด้วยเกียรติของลูกเสือเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว… ผมก็จะไม่ขอถ่ายอะไรที่เค้าห้ามนะครับ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมหลายๆจุดไม่มีรูปนั่นเอง

    หมดธุระกับที่นี่แล้ว เดินออกมา นอยโทรมานัดกินเกี๊ยวซ่า แถว ฮาราจุกุ (ที่จริงวันนี้มีเดินฮาราจุกุต่อ แต่ขอยกยอดไปรวมกับวันฮาราจุกุพรุ่งนี้ทีเดียวเลย จะได้ไม่สับสน) นอยพามากินเกี๊ยวซ่าในซอยแถวนั้นซักซอย ที่เป็นร้านดังมากใน โตเกียว สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า ร้านที่นี่จะอุดมไปด้วยร้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทางหลากหลายรูปแบบ เนื่องจากความเจริญสูงสุดที่คนมีจะกินทั้งหลายสามารถเข้าถึงสินค้าหรือ Content จำนวนมากได้เหมือนๆกัน ทำให้ผู้ขายต่างก็ต้องพยายามแข่งขันให้ตัวเองแตกต่าง ประกอบกับเพื่อรองรับกลุ่มตลาดยิบย่อยของชาวญี่ปุ่น ที่มีอุปนิสัยชอบค้นหารสชาติแปลกใหม่ด้วย ทำให้เกิดร้านเฉพาะทางต่างๆมากมาย เคยคิดเล่นๆว่า ถ้าเปิดคาเฟ่ theme ไทยๆ อีสานๆ แต่งร้านให้อลังการแนวอีสาน แล้วเปิดแต่เพลงลูกทุ่ง หญิงลี อะไรงี้อย่างเดียวก็น่าจะอยู่ได้นะ ยกตัวอย่างร้านนี้ ขายแต่เกี๊ยวซ่าก็อยู่ได้ ดีเนอะญี่ปุ่นนี่ ดีจุง

    ทะลุออกมาอีกด้านทางอาโอยามะ เพื่อเดินไปชิบุยะ จะไปหาร้านข้าวมันไก่ประตูน้ำ แต่สรุปว่าหาไม่เจอ นอยแวะร้านเครื่องเขียน อยู่ทางชิบุยะฝั่งตะวันออกที่จะเชื่อมไปยังฝั่งใต้ ร้านขายเครื่องเขียนที่อลังการอีกแล้ว สีขายกันเป็นพันเป็นหมื่น ไอ้วงการศิลปะกับดนตรีนี่มันก็คล้ายกันบางอย่างนะ คืองานศิลป์นี่ต้องลงทุนผลาญเงินซื้อวัตถุดิบพวกนี้ มาวาดเล่น ทดลองให้มากๆ ใช้ของดีๆ ถึงจะได้ผลลัพธ์ดีๆ ออกมา ดนตรีก้อเหมือนกัน ต้องเสียเงินซื้อ hardware ต่างๆ มาลองสารพัด แล้วค่อยขายไป ต้องลองก่อน ลองหลายๆอย่าง ถึงจะสร้างอะไรดีๆใหม่ๆได้ ต้องมีเม็ดเงินมาหมุนเพื่อความซนนี้อยู่เสมอ ลำบากจังคนทำงานสายนี้

Shibuya ฝั่งใต้ อันอุดมไปด้วยร้านเครื่องดนตรี,บาร์ และคาเฟ่

ร้านเครื่องดนตรี 5

เดินมาถึงชิบุยะ มันเป็นชิบุยะฝั่งตะวันออก ไม่เจอเป้าหมาย แต่เจอร้านบาร์ หรือ พวกเครื่องดนตรีเพียบ มีร้านนึงเจ๋งมาก มี Keyboard Synthesyser เจ๋งๆ เจ๋งๆเยอะๆ อยู่ชั้นบนๆของร้านกีตาร์ ร้านเครื่องดนตรีแถวนี้จะเน้นพวกเครื่องอิเลคโทรนิค, Studio Equipment หรืออุปกรณ์ DJ มากเป็นพิเศษ

เจอ Live House ราคาสองพันห้า แพงไปหน่อยสำหรับดนตรีที่ไม่ได้ชอบ เลยไม่ลง กะว่าพรุ่งนี้จะเริ่มทำ List ดนตรีที่ต้องไปดูละ

ไปกินคาเฟ่ ในร้าน Jonathan กินของหวาน ร้านนี้คือต้นกำเนิดชื่อ Jonathan Joestar ในการ์ตูน JOJO ล่าข้ามศตวรรษเลยนะ คือร้านมันมีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่นน่ะแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่า อ.อารากิ คนเขียนแกบ้านอยู่แถวไหน แต่แกเอาชื่อมาจากร้านนี้แหละ

ร้านกำเนิด JOJO

นี่สินะ… ต้นกำเนิดตระกูลโจสตาร์…

ออกมากำลังจะขึ้นรถเมล์กลับ เจอวงเล่นสดข้างถนน เลยหยุดดู อัดวิดิโอ ชื่อวงเป็นคันจิ ผ่านอ่านไม่ออก ส่วนอีกวงยังเซตไม่เสร็จอดไปนะ ไม่ได้ชอบเพลงเท่าไร แต่ชอบ performance คือเป็นความประทับใจแรกที่รู้สึกดีมากๆ ที่เห็นศิลปินเป็นตัวเป็นตนมาเล่นข้างถนนใกล้ชิดแบบนี้ เมืองไทยทำอย่างนี้ไม่ได้ (นักร้องวงนี้น่ารักนะ อิอิ)

เสร็จแล้วมานั่งรถเมล์ นอยสอนนั่ง มาถึงบ้าน 210 เยน ใช้เวลาจะนั่งมาชิบุย่าแบบง่ายๆ ถูกๆ ซึ่งมารู้ว่าการนั่งรถเมล์ในญี่ปุ่นนี่มันไม่ใช่ง่ายๆเหมือนนั่งรถไฟฟ้า เพราะมันไม่มีภาษาอังกฤษซักตัว…

ซื้อ Lawson ก่อนเข้าบ้าน กินนม กับเค้ก เน้นฟื้นฟูตัวเอง และเบียร์คนละกระป๋อง อยากลอง โอเคดีนะ

กลับถึงห้อง นั่งกินเบียร์เล่นสตรีท นอน จบวัน พรุ่งนี้เตรียมมาต่อกันกับ Day4 :พลังวัยรุ่นใน Harajuku,ถิ่นดีไซน์เนอร์ Aoyama

 

ชมภาพเพิ่มเติม

[wonderplugin_gallery id=”4″]

Comments (1)

  • It’s a pity you don’t have a donate button! I’d without a doubt donate to this brilliant blog!

    I guess for now i’ll settle for bookmarking and adding your
    RSS feed to my Google account. I look forward to brand new updates and will
    talk about this site with my Facebook group. Talk soon!

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.