วันที่ 4 ของการเดินทาง หลังจากที่ผมเริ่มเตรียมลิสต์ตั๋ว concert ทั้งหมดที่จะซื้อในตอนเช้า ช่วงอาหารยั่วกิเลสประจำวันเช้านี้ ขอเสนอสิ่งนี้
นอยพามาร้านชื่อ Kinharu ขายพวกข้าวเทมปุระ ของทอดต่างๆ มีสลัดกินได้ไม่อั้น คือ อร่อยมากกกกกก เริ่มเข้าใจอย่างหนึ่งว่าความอร่อยของญี่ปุ่นนั้นเป็นยังไง คือ ไม่ใช่เรื่องของรสชาติเข้มข้นแค่ไหน แต่เป็นความพิถีพิถันในวัตถุดิบและการทำ ซึ่งทำให้เกิดผลลัพธ์คือ รสชาติที่เหมือนซ้อนเลเยอร์อะไรบางอย่างไว้หลายชั้นเสมอ เหมือนในงานออกแบบแขนงต่างๆของญี่ปุ่น ยิ่งร้านที่ตั้งใจทำยิ่งมีลูกเล่นเลเยอร์ซ้อนไว้เยอะ กุ้งทอดเทมปุระ กัดไปนี่ มีใบอะไรไม่รู้ซ้อนอยู่ชั้นในอีกที ล้ำลึก อ่าห์ ฟิน
กินเสร็จก็ได้เวลาลุย เป้าหมายการสำรวจของวันนี้คือ ดินแดนแฟชั่น “Harajuku” นั่นเอง
ฮาราจุกุนั้นมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับด้านบนของชิบุยะ สามารถเดินถึงกันได้โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ที่นี่เป็นย่านแฟชั่นของวัยรุ่นยุคใหม่ อย่างที่ใครๆนึกภาพว่าจะมีแต่คนแต่งตัวหลุดโลก เพี้ยนๆ หรือเปรี้ยวจี๊ด พอมาถึงที่นี่จริงๆก็ ผิดคาดครับ… คนก็ปกติๆเยอะแยะนี่หว่า… ไอ้คนที่แต่งตัวหลุดโลก เป็น sub culture เฉพาะทาง มันก็มีน่ะแหละ แต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้น พื้นที่ของฮาราจุกุ จะมีที่ดังๆอยู่ไม่กี่จุด คือ
เป็นถนนสายใหญ่ สายหลักของฮาราจุกุ ผมชอบที่นี่มากเลย จำนวนคนไม่พลุกพล่านและร้านไม่เยอะไม่อึนเท่าชิบุยะ แต่คึกคักกำลังดี ถนนสองข้างทางอุดมไปด้วยต้นไม้ และร้าน shop สวยงาม ร่มรื่นมาก รู้สึกลงตัวกว่าชิบุยะ เหนื่อยก็มีที่นั่งพักได้ตลอดทาง วัยรุ่นหน้าตาดีเยอะแยะ แต่ก็ไม่ได้เยอะเว่อร์ คืออัตราส่วนคนหน้าตาดี สัก 10:1 ได้ ระหว่างทางมีชายชุดดำเข้ามาถามนุ่นนี่กับคนเดินไปมา จะมีอยู่คนนึง คอยทาบทามผู้หญิงสวยๆ ไม่รู้ว่าใช่แมวมอง av รึเปล่า (จีบไปทำอะไรไม่รู้นะ… อาจจะทาบทามมาเล่นหนังที่เราๆดูกันก็เป็นได้…) ข้างทางในช่วงเทศกาลบางทีก็เจอขบวนแห่อะไรสักอย่าง หรือบู๊ทอะไรสักอย่าง มาตั้งเต๊นท์เทศกาลอะไรสักอย่างอยู่ ( -_-‘ พอถามคนแถวนั้นเค้าก็อธิบายให้ฟังเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้อีก )
ร้านแถวนี้จะเน้นไปทาง เสื้อผ้า แบรนด์ดังต่างๆ ของกิน ร้านอาหาร ห้างฯ ซะเป็นส่วนใหญ่ ห้างที่ดังที่สุด และดูจะเป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้ คืออยู่ตรงสี่แยกพอดี คือ Tokyu ที่มีทางเข้าเป็นกระจกหลายๆเหลี่ยมสวยงาม วันที่ผมไปมีกระเทยญี่ปุ่นแต่งตัวจัดเต็มมาโชว์หน้าห้างด้วย Costume นี่กระเทยไทยชิดซ้ายเลย เจอร้านขายเปียโนแก้วแบบที่โยชิกิ X-Japan ใช้ได้วย! ถ้าเข้าไปตามตรอกซอกซอยแถวนี้ มีพิพิธภัณฑ์ Ukiyo-e หรือภาพพิมพ์ไม้ญี่ปุ่น ที่น่าสนใจ และก็ยังอุดมไปด้วย shop ต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย ถ้าผู้หญิงชอบแต่งตัวนี่น่าจะขลุกอยู่ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์ๆโดยไม่เบื่อ ขนาดผู้ชายอย่างผม โดน shop Onitzuka Tiger เข้าไป ตาลุกวาว ไม่ได้ๆๆ อดทนๆๆ เจอร้านขายแผ่นหนึ่งร้าน คือ Beam Records เป็นร้านที่ขายแผ่น selection จากต่างประเทศ โดยวันที่ผมไปโชคดีมากที่เป็นวัน แฟชั่น week ประจำปีพอดี แต่ละร้านจะมีการเลี้ยงเหล้าลูกค้าที่เข้าร้านฟรี มีปาร์ตี้จัดเต็มแข่งขันกันสนุกสนาน มีดารา (ที่ผมก็ไม่รู้จัก) ออกมาแจกลายเซ็นกันตูม
น่าแปลกว่า ป๊อปคอร์นที่นี่ฮิตมาก ไม่ใช่เฉพาะการ์เลต เฉพาะบนถนนนี้เจอสองร้าน ที่คนต่อแถวยาวเหยียดทั้งคู่ นอยบอกว่าไม่ได้ฮิตเป็นพักๆแบบในไทยด้วย คืออะไรฮิตนี่จะฮิตกันยาวนานแทบไม่มีเลิก และคนญี่ปุ่นต่อแถวกันเป็นระเบียบมาก น่าชื่นชม ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ที่นี่จะมีวัฒนธรรม “แถวขาด” คือพอต่อแถวจนเต็มพื้นที่หน้าร้านที่มีอยู่น้อยนิด แถวก็จะขาดไป แล้วมาตั้งอีกที อีกฝั่งถนน เพื่อเว้นไม่ให้ขวางทางคน บางทีถ้าคนไทยอย่างเราไม่ชิน มองผ่านๆ มองไม่เห็นแถวขาด มองแค่หน้าร้านจะเข้าใจผิดนึกว่าแถวมันสั้นนิดเดียวได้ ซึ่งผมเคยมาแล้ว… ไปต่อแบบไม่รู้ ซื้อของเสร็จแล้วด้วย หันกลับมาเห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามจากคนหลายสิบอีกฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วอยากจะร้องไห้ T__T เค้าไม่เห็นง่ะะะะ ขอโต้ดดดด
อีกหนึ่งซอยดัง เป็นซอยเล็กๆที่ขนานกับถนน Omotesando แต่โดยรวมให้คนละฟิลลิ่งกันเลย คือที่นี่มันจะเด็กกว่ามากกกก เป็นที่ของวัยรุ่นเล็กๆลงไปอีก ตั้งแต่ ประถมถึง ม.ต้น กับพวกนักท่องเที่ยวซะมากกว่า ร้านก็เป็นร้านเล็กๆ มีของมือสอง กับของถูกๆ แต่ก็มีของแปลกๆ อย่างพวก Costume สำหรับสาย Cosplay ขายด้วย เนื่องจากความแรงในการแต่งตัวของเด็กๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของฮาราจุกุนั้นถูกพรีเซนต์ว่าเป็นแบบถนนสายนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทั้งหมด ร้านอย่างอื่นในซอยนี้ จะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เด็กลงอย่างที่กล่าวไป ของราคาไม่แพง อย่างพวก daiso หรือร้าน เครป harajuku (ต้นฉบับมันอยู่ที่นี่นี่เอง…) ร้านขายรูปไอดอลชาย กับสารพัดร้านที่เอาใจเด็กผู้หญิง ดูจะเป็นย่านที่ตรงข้ามกับ Akihabara ที่เอาใจเด็กผู้ชายนะย่านนี้
อีกหนึ่งกิจการที่พบได้มากแถวย่านนี้คือ พวกสตูดิโอสอนเต้น สอนร้อง ปั้นดารา แบบที่ฮิตๆในเมืองในช่วงที่ผ่านมานี่แหละ โดยที่ญี่ปุ่นคงมองแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก แฟชั่นๆ จะอยู่ย่านนี้กันซะเยอะ และมี Kyary Pamyu Pamyu เป็นไอดอลที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ เลยมาตั้งกิจการปั้นดารากันที่นี่ซะเลย
แต่แล้วผมก็ต้องตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง เมื่อไปพบกับสุดยอดร้านขายเครื่องดนตรีในตำนานที่ต้นๆซอยเลย คือ “Five G” เป็นร้านขาย Vintage Synthesizer ที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวบรวมคีย์บอร์ดที่สร้างเสียงแปลกๆ ที่เน้นแนวย้อนยุคโบราณ แต่ยังใช้ได้ดี ของพวกนี้มีราคาแพงระยำ ซึ่งแม้จะถูกกว่าไทย มันก็ยังโคตรรรรแพงอยู่ดี อันตรายๆๆๆ อยู่นานไม่ได้ ยังไม่อยากกลับไทยตั้งแต่พรุ่งนี้ T-T
จริงๆมันคงไม่ดังหรอก แต่ผมเดินหลงมาโดยไม่รู้จักชื่อมัน เป็นคนละที่กับ Meiji-Jingu มันเป็นซอยถัดจาก Takeshita Street ที่ชอบคือ มันใกล้กับความพลุกพล่านแถวนั้นมาก แต่เดินมาอีกแค่นิดเดียวกลับมีความสงบที่งดงามซ่อนอยู่ ผมชอบสิ่งนี้ในโตเกียวจริงๆ วันนั้นโชคดีด้วยระหว่างกำลังเดินถ่ายรูปอยู่ได้ยินเสียง ขลุ่ยญี่ปุ่นลอยมา พอลองมองหาต้นตอของเสียงก็พบว่า ใช่เลย… มันคือพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่น เหมือนใน Lost in Translation อีกแล้ว ว้ากกกก โชคดีมากที่ได้ดู
กลับมาที่ดังๆกันต่อ Cat Street เป็นซอยเล็กๆอีกซอย แต่ค่อนข้างยาว มันลากผ่านตั้งฉากกับ Omotesando คือจริงๆมันก็มีซอยยิบๆย่อยๆ ที่มีอะไรซ่อนอยู่และน่าเดินเยอะแยะอะนะ แต่ทำไมต้องมาดังซอยนี้ไม่รู้ แล้วชื่อ Cat Street ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีแมวอยู่ เดินมาทั้งวันอย่างนาน ผมเจอตัวเดียวเอง แคทสตรีทดูเหมือนจะเหลือแค่ชื่อนะ
ถนนเส้นนี้ ดูจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองบางอย่าง คือ element ของมันก็จะคล้ายคลึงกับย่าน Harajuku รวมๆนี่แหละ เพียงแต่มันจะเน้น shop เก๋ๆ สวยๆ หรูๆ เยอะกว่ามาก การเดินชอปปิ้งที่นี่มันโคตรได้ฟิลสุดๆ แตกต่างจากเดินห้างที่รู้สึกดาษๆ ทุกร้านจะแข่งกันตกแต่ง shop ของตัวเองให้ดูเก๋ ดูเว่อร์ ดูชิค ดูศิวิไลซ์สุดๆ แบรนด์ส่วนมากที่คนไทยรู้จักอยู่แล้ว แต่การได้มาเดินซื้อที่นี่มันให้ความรู้สึกฟินแบบคนละมิติกับที่ไทย นอกจากเรื่องบรรยากาศแล้ว ของที่ขายยังชอบเป็นแบบที่ selection มาแล้ว มีเฉพาะญี่ปุ่น และดูดีกว่าแบบในประเทศอื่นมากกกกก ทำไมทำไมทำไม T-T
ผมยังเจอสำนักงานของ Native Instrument ด้วย เป็นบริษัททำ software ที่ใช้ในงานดนตรี ที่ใครที่อยู่ในแวดวง music production แทบทุกคนต้องเคยใช้ ผมเดินต่อไปยังสุดถนนด้านบน เจอญี่ปุ่นมุงรุมถ่ายรูปฝรั่ง ที่มาโปรโมทหน้าร้านแฟชั่น ตอนแรกก็ไปถ่ายด้วย เออๆๆ ฝรั่งสวยดี นางแบบๆ สักพักก้อคิดได้ว่า เอ้ะ! แล้วกูจะถ่ายอีฝรั่งนี่ทำไมวะ กูมาศึกษาคนญี่ปุ่นนี่หว่า เลยเปลี่ยนใจมาเป็นถ่ายคนญี่ปุ่นที่กำลังถ่ายฝรั่งอีกที
เดินทะลุต่อมายังด้านใต้ แบบชิลล์ๆหลงๆ เพื่อจะหาคาเฟ่ที่แสดงงานของพี่ตั้ม วิศุทธิ์ แต่หาไม่เจอ เดินหลงๆไปเจอแต่ศาลเจ้าสีเงินเท่ห์ๆ หลงไปหลงมา สรุปว่าร้านมันเปลี่ยน theme ไปเรียบร้อยแล้ว… แต่ดันไปเจองานของพี่ตั้มขายที่แกลลอรี่ ชั้นสามของร้านป๊อปคอร์นแทนซะงั้น น่าภูมิใจที่มีงานของคนไทยขายอย่างภาคภูมิที่ใจกลางความเจริญทางความชิคของโลกเลย ซึ่งที่จริงแล้ว งานของศิลปินไทยหลายๆคนก็น่าจะขายที่ญี่ปุ่นได้เหมือนกัน คือคนญี่ปุ่นนั้นเปิดรับสิ่งแปลกๆมาก และมีความสนใจในศิลปะและดนตรีในสไตล์ที่หลากหลาย ยิ่งแปลกยิ่งชอบ แต่ติดตรงกำแพงภาษาที่จะสื่อสารกับตัวแทนจำหน่ายนี่แหละ ที่ทำให้การจะติดต่อเข้ามาเผยแพร่งานได้ญี่ปุ่นได้เป็นเรื่องยาก
ต้นๆซอยของ Cat Street ด้านบน ผมเจอฐานทัพใหญ่ของค่ายเพลง ASOBI SYSTEM เป็นค่ายของ Kyary Pamyu Pamyu ( และ Capsule ที่เพิ่งย้ายมา ) นั่นเอง โอ้วววว ที่นี่นี่เอง! ถัดไปหน่อยก็มี shop ชื่อ bape kid เป็นแบรนด์ขายของเด็กของ Bathing Ape ของ Cornelius ผมรู้สึกได้ว่าที่ ฮาราจุกุ นี่แหละ มันเป็นเหมือนฐานทัพใหม่ที่หนึ่งของดนตรีแนวประมาณนี้ (Shibuya-kei) ที่แตกแขนงมาจากชิบูยะ อีกที ผมคิดว่าเป็นความตั้งใจของ Yasutaka Nakata ( Producer ของ Pamyu , Capsule และ Perfume ) ที่ย้ายมาที่ค่ายนี้ และพยายามเคลมว่า ASOBI SYSTEM เป็นดนตรีของย่าน Harajuku คล้ายกับเป็นการจองพื้นที่ใหม่ เพื่อตั้งรกรากให้กับอาณาจักรของตัวเอง
ถ้าพูดในแง่ว่า Shibuya-kei ได้ตายไปแล้ว มันอาจจะจริงในนาม แต่ Sound แบบ Shibuya นั้นไม่ได้ตาย และมันกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาในรูปแบบใหม่ที่คนหมู่มาก และวัยรุ่นยุคใหม่จับต้องมันได้ง่ายขึ้น ราวกับว่านี่คือแผนการณ์ของนากาตะ ในการจะนำซาวด์แบบนี้มาสู่หูผู้ฟังรุ่นใหม่ในชื่อใหม่ โดยการเคลมว่าย่าน Harajuku นั้นคือที่ตั้งของ scene นี้ ผ่านทางศิลปินค่าย ASOBI SYSTEM นั่นเอง
จาก Harajuku เราสามารถเดินทะลุมายัง Aoyama ได้ ซึ่งที่นี่นั้นเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนรวยไฮโซ มีสไตล์ แนวดีไซน์เนอร์ ใช้ของไม่แมส
นอยพาเดินเลาะมา อาโอยามะ และสิ่งแรกที่รู้สึกได้ถึงความเป็นย่านนี้คือ ร้านขายพิณ ตัวละเป็นล้าน…
อย่างที่บอกว่า วันนี้โชคดี เป็นวัน fashion week ของถิ่นนี้พอดี แม้แต่ย่านอาโอยามะก็ไม่เว้น นอยพาไปเดิน ร้านแบรนด์แฟชั่นเว่อร์ๆ แพงระยำในบ้านเรา แต่ราคาสมเหตุผลที่ญี่ปุ่น แบรนด์เสื้อผ้าในย่านนี้คือ ไม่ใช่แบรนด์เมนสตรีม คนใส่เป็นคน unique มีสไตล์ ซึ่งแต่ละคนแถวนั้นแต่งตัวเหมือนดีไซเนอร์กันหมด ยังกะอยู่ปารีส
แบรนด์แรก คือ Yohji Yamamoto นั้นจ้างศิลปินอีกคนมาเพ้นท์เสื้อ ขายตัวละแสน แม่เจ้า…
อีกแบรนด์คือ Rick Owens ในร้านจะมีหุ่นรูปปั้นรูปเจ้าของอยู่ทุกร้าน จะเพี้ยนๆ ดีเจเปิดเพลงเฮ้าส์ เทสต์ดี และเสื้อผ้าดีมากกกกก แจกลูกอมอีกตะหาก เนื่องในโอกาส event วันพิเศษ แนวคิดของ Rick Owens นั้นคือ ถ้าคนป่ามาอยู่ในยุคปัจจุบันจะเป็นยังไง
ที่นี่มีร้าน Blue Note เป็นคลับแจ๊สที่ดังที่สุดในโตเกียว ซึ่งราคาก็แน่นอนว่า แพงระยำ… แต่ถ้ามีเงินมาดูก็คุ้มค่า เพราะศิลปินระดับโลกเวียนมาเล่นทั้งนั้น มีกระทั่งวงบิ๊กแบนด์… โอ้ยยยยย คราวหน้าต้องไม่พลาด
ปิดท้ายวันอย่างประทับใจด้วย แพนเค้กอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น กับร้าน Clinton St. Baking Company โคตรรรรรดี อี้เนะ >_< เปิดเพลงดีมากกกก เป็นแจ้ส รสนิยมดี ร้านสวย อาหารอร่อยมากกก นอกร้านวิวดี เป็นถนน มีแสงไฟยามค่ำคืนจากเมืองสลัวๆสวยๆ รถวิ่งผ่าน ฝนตกเพิ่มบรรยากาศ อ่าห์ อีลีเม้นท์ครบ ฟิน นั่งแท๊กซี่กลับบ้าน นอน จบวัน
แต่…
ยัง… ยังไม่จบ ระหว่างที่กำลังกลับบ้าน ผ่านที่ๆหนึ่งคือ
สะพานนี้เป็นที่ๆหนึ่งในโตเกียวที่ผมชอบมากที่สุด ผมไม่รู้ชื่อจริงๆของสะพานนี้ แต่หลายครั้งหลายคืนที่กลับบ้านแล้วผ่านที่นี่ มีสิ่งน่าประทับใจแทบทุกครั้ง คือ นักดนตรีอินดี้ที่ชอบมาแสดงสดกันที่นี่ บางทีก็เป็นจุดหน้าสถานี หลากหลายคน หลากหลายแนว โดยไม่แบ่งแยกว่าต้องเป็นแนวอะไร ถึงจะชื่อว่าอินดี้ ต้องเป็นแนวอะไรถึงจะมาเล่นเปิดหมวกแบบนี้ได้หรือไม่ได้ ที่นี่มันไม่มีการแบ่งแยกอะไรแบบนั้นทั้งนั้น ในวันนี้ระหว่างที่เดินมาเจอคนมุงแผงขายรูปดารานักร้อง และคอนเสิร์ต K-pop (ที่ญี่ปุ่นก็มีคนนิยมกระแสเกาหลีอยู่พอสมควร) ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณสะพานกลับมีศิลปินอินดี้ผู้สวนกระแสอยู่คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือ “HOMEY” สิ่งที่ประทับใจคือ เขาเป็นนักร้องแนว Pop R&B ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเรา แทบไม่มีวันเห็นนักร้องแนวนี้มายืนร้องๆเต้นๆ ข้างๆถนน เปิดหมวกแบบนี้แน่ เขาเตรียม backing track ของตัวเอง พร้อมไมค์กับเครื่องขยายเสียงมาเอง กับผู้จัดการ(สาวสวย)อีกคน ทั้งร้องทั้งเต้นด้วยตัวคนเดียว เพื่อโปรโมทตัวเอง T-T คนที่นี่เค้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อความฝันของตัวเองจริงๆ ไม่นั่งรอให้โอกาสวิ่งมาหา สะพานนี้ทำให้ ผมรู้สึกได้ถึง พลังแห่งความฝันของวัยรุ่น ในย่านฮาราจุกุจริงๆ
“สวัสดีครับ คุณมาจากที่ไหนเหรอ” เขาทักทายผมออกไมค์เป็นภาษาอังกฤษ
“จากประเทศไทยน่ะครับ”
“ว้าว ได้ยินว่าเป็นที่ๆดีมากเลย ผมมีเพื่อนเป็นคนไทยเหมือนกัน คุณมาที่นี่ทำไมเหรอครับ ทำงาน?”
“มาท่องเที่ยวน่ะครับ”
“อ่า ดีๆๆ คุณทำอาชีพอะไรเหรอ”
“เป็นศิลปินที่เมืองไทยน่ะ เหมือนกับคุณนี่แหละ”
“ว้าว จริงเหรอครับ ขอบคุณมากที่มาดูนะครับ”
“ครับ พยายามเข้านะ สู้ต่อไป กัมบาเระ” ^^
(ปิดท้ายกับคลิปของ HOMEY ตอนหน้าเตรียมพบกับ Day 5 : Akibahara แดนโอตาคุ )