เสียงดนตรี คือหนึ่งในความบันเทิงที่เราไม่สามารถขาดมันไปได้ มันช่วยให้เรามีความสุขในเวลาที่ได้เฉลิมฉลอง มันคือเพื่อนรักที่ให้กำลังใจเรา และช่วยปลอบใจเราเวลาที่เสียใจ แต่ถ้าหากโลกทั้งใบนี้ไร้เสียงดนตรีขึ้นมาล่ะ จะเป็นอย่างไร?
John Cage คือชายที่ไม่เชื่อว่าโลกใบนี้จะไร้เสียงดนตรี เพราะทุกเสียงที่เราได้ยินผ่านหูนั้นสามารถเป็นดนตรีให้กับเราได้ ซึ่ง John Cage ก็ได้พิสูจน์มาแล้วกับบทเพลงที่เงียบที่สุดของเขาอย่าง 4’33 หรือ ‘Silent Piece’
ซึ่งวันนี้เราก็จะมารู้จักกับเขากันว่าทำไมถึงได้สร้างบทเพลงชิ้นนี้ขึ้นมา
และสำคัญกับประวัติศาสตร์ดนตรีกับเราอย่างไรบ้าง
John Cage เกิดในลอสแองเจลิส ปี 1912 ประเทศอเมริกา
เขาเคยศึกษาอยู่ที่ Pamona College เป็นเวลาสั้นๆ ก่อจะไปต่อที่ UCLA หรือมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส หลังจากที่จบการศึกษา และได้เป็น composer แล้ว John Cage ก็พบว่าเพลงที่เขาอยากแต่งนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับดนตรีในยุคสมัยของเขา จนเพื่อนของที่จบจากมหาลัยเดียวกัน Arthur Schoenberg บอกว่า “นายจะเจอกับกำแพงที่ข้ามไปไม่ได้นะ” ทำให้ John Cage สวนกลับไปว่า “ฉันจะเอาหัวโขกกำแพงนั้นให้ทลายลงเอง”
John Cage ถือเป็น Composer คนนึงที่กล้าลองอะไรใหม่ๆ เป็นคนที่ชอบทดลองเสียงต่างๆ อย่างเช่นเพลง “Imaginary Landscape No.4” ที่ได้ใช้วิทยุ 12 ตัว ในการบรรเลง สลับช่องไปมา หรืออย่างเพลง “Water Music” ที่ได้ใช้สิ่งของต่างๆในการบรรเลง ทั้งตุ๊กตาเป็ด แก้วน้ำ ช่อดอกไม้
คนในสมัยนี้อาจมองว่ามันเป็นเพลงได้ยังไง? คนในยุคนั้นก็คิดเช่นเดียวกันครับ
หลายๆคนมองว่า John Cage นั้นเป็นบ้า แต่ความจริงแล้ว John Cage นั้นต้องการที่จะสื่อบางอย่างให้กับผู้ชมที่ได้รับฟังดนตรีของเขา
ผลงานที่ดังที่สุดของเขาอย่าง Silent Piece หรือ 4’33” เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นสำคัญที่หลายๆคนเริ่มให้คุณค่าทางเสียงมากขึ้นกว่าเดิม โดยเป็นบทเพลงที่ได้ชื่อว่า “เงียบที่สุดในโลก” ซึ่งก็สมชื่อเลยครับ ในปี 1950 ทันทีที่ John Cage ได้ขึ้นบทเวทื พร้อมกับเหล่านักดนตรีทั้งหลาย และนักเปียโนคู่ใจของเขานั่งลงไปพร้อมที่จะบรรเลง
สิ่งที่ทำให้ผู้ชมต้องตะลึงกันทุกคนเลยนั้นก็คือ “ไม่มีเสียงดนตรีอะไรเลย…” ใช่ครับ นักดนตรีทุกคนที่นั่งอยู่บนเวที ไม่มีใครเล่นอะไรเลย แถมในกระดาษโน้ตก็ว่างเปล่า มีเพียงแค่นักเปียโน ลุกขึ้นไปปิดเปิดฝาเปียโนเพียงเท่านั้น ทำให้ตลอดการนั่งฟังคือการนั่งดู Composer โบกมือบรรเลงไปมาตลอด 4 นาที 33 วินาที สร้างความมึนงงให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก
John Cage นั้นให้เหตุผลกับผู้ฟังว่า “ความเงียบไม่มีอยู่จริง” และกล่าวว่าผู้ฟังว่ามีหลายคนพลาด “เสียง” ไปอย่างมีนัยสำคัญ เพราะแบบนี้เองก็ได้ทำให้เหล่าผู้ชมที่ได้ฟังเพลงนั้น แพร่กระจายข่าวลือไปทั่ว ทำให้มีหลายผู้ชมเริ่มเข้ามาฟังมากขึ้น รวมถึงนักวิจารณ์ที่พยายามแกะเหตุผลของสิ่งเหล่านี้นว่าทำไม John Cage ถึงได้สร้างบทเพลงนี้ขึ้นมา
John Cage กล่าวไว้ว่า “เสียงลมที่พัดผ่านจากภายนอกในองก์แรก เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาดีบุกในองก์ที่สอง รวมไปถึงเสียงของเหล่าผู้ฟังที่ดังขึ้นในองก์สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นเสียงกระซิบกระซาบ พูดคุย เสียงบ่นสบถ เสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินออกจากโรงเพลง ไม่ว่าจะมีการเล่นเครื่องดนตรีหรือไม่ เสียงดนตรีกลับไม่เคยหยุดลง”
ทำให้เหล่าผู้ฟังนั้นเริ่มที่จะตั้งใจฟังเสียงต่างๆที่อยู่รอบข้างตนเอง ทั้งเสียงนกร้อง และบินไปมา, เสียงจากหยดฝนที่กระทบกับหลังคา, เสียงของบรรยากาศที่มีผู้คนพูดอย่างสนุกสนาน หรือเงียบจนได้ยินเสียงอื่นๆเข้ามา ทั้งๆทีไม่เคยได้ตั้งใจฟังมันมาก่อน
ทำให้มันกลายเป็นเพลงที่หลายๆคนเริ่มชื่นชอบ เพราะมันคือการให้เราตระหนักถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราว่ามีอะไรบ้าง และมันงดงามมากเพียงใด
หนึ่งแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ที่ John Cage เปรียบเปรยว่าเป็นเหมือน ‘คำอนุญาต’ ให้เขาสร้างผลงาน 4’33” แล้วมอบมันแก่โลกนั้นเป็นภาพบนผืนผ้าใบในอาร์ตแกลเลอรี
ผลงาน Robert Rauschenberg นั่นเองที่สะกิดใจเขา ผ้าใบสีขาวล้วน ไม่มีภาพอะไรนอกจากสีขาว แต่แม้มันจะขาวหมดจดจนไร้ภาพอย่างนั้น เมื่อแสงเปลี่ยนทิศ เงาที่ตกกระทบบนผืนผ้าก็เปลี่ยนทีท่า ภาพที่ปรากฏตามการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจจับแตะได้เหล่านั้นราวกับ “สนามบินแห่งแสงและเงา” สำหรับ John Cage และทำให้เขาคิดได้ว่าการปฏิวัติโลกดนตรีของเขาตามหลังโลกแห่งภาพเขียนเสียแล้ว และเขาต้องทำอะไรสักอย่าง
ปัจจุบันนี้ 4’33” นั้นก็ยังมีให้เราได้รับชมอยู่บ้างบนเวทีและยูทูป เพราะมันคือหนึ่งในบทเพลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ บทเพลงนี้มีคุณค่าเป็นอย่างมาก เพราะมันคือการให้เรานั้นได้ตั้งใจฟังสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา และเราพลาดเสียงอะไรไปบ้างบทโลกใบนี้ ต่อให้เราจะอยู่ในห้องที่เงียบที่สุดในโลกก็ตาม เราก็ยังได้ยินเสียงหัวใจของเราอยู่ดี นั้นจึงทำให้ “ความเงียบไม่มีอยู่จริง” นั้นเป็นเรื่องที่ John Cage อยากให้ผู้ชมอย่างพวกเราเข้าใจมันว่า “เสียง” นั้น งดงามเพียงใด
แม้ว่าเราอาจไม่สามารถสอนทำเพลงที่เงียบที่สุดให้คุณได้ แต่เราสามารถช่วยให้คุณได้ลองสร้างเสียงใหม่ๆที่อยากจะให้ผู้ฟัง ได้รับฟังเสียงของเราได้ในหลักสูตร The Real Producer ที่มีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะทฤษฏีดนตรี, การทำเพลง, และ Music Marketing ที่จะช่วยให้คุณได้ลองทำความฝันให้กลายเป็นจริงสักครั้งในชีวิต ติดต่อแอดมินทางไลน์ @verycatacademy หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก link ด้านล่างสุดท้ายบทความได้ครับ
—————————
VERY CAT SOUND
Compose Your Dream
เราไม่ได้สอนให้คุณทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริง
ถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับ
.
รับ demo คอร์สเรียนฟรี และข้อมูลหลักสูตรเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่นี่
www.verycatsound.academy/funnel01
ติดต่อจ้างทำเพลง Line @verycatsound
ติดต่อเรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy
โทร. 085666242