ทำเพลงต้องเริ่มจากอะไรก่อน? เนื้อร้อง - ทำนอง - บีท?

ทำเพลงต้องเริ่มจากอะไรก่อน? เนื้อร้อง – ทำนอง – บีท?

Share via:

Krissaka Tankritwong

ทำเพลงต้องเริ่มจากอะไรก่อน? เนื้อร้อง – ทำนอง – บีท?

อีกหนึ่งคำถามคลาสสิกที่คนเริ่มต้นทำเพลงถามกันอยู่เรื่อย ๆ คือทำเพลงต้องเริ่มจากอะไรก่อน เนื้อร้อง ทำนอง หรือ บีทดนตรี มันไม่ได้มีคำตอบตายตัว ศิลปินที่เรารู้จักหลายคนก็ยังเลือกวิธีเริ่มต้นไม่เหมือนกัน แต่วันนี้เราจะมาคุยกันถึงข้อดีข้อเสียของการเริ่มทำเพลงด้วยเนื้อร้อง ทำนอง บีท ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อจะได้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองกันครับ

แต่ก็มีข้อแม้อยู่ว่าถ้าใครยังไม่มีพื้นฐานการทำเพลง ยังไม่รู้ว่าการทำเพลงมีขั้นตอนอะไรบ้าง เริ่มต้นอย่างไร จำเป็นจะต้องเรียนทำเพลงและเริ่มต้นทำให้เป็นก่อน นั่นคือต้องเรียนการทำคอร์ดและทำนองหลักก่อน และค่อยเรียนการทำดนตรี ต้องแยกกัน ส่วนการแต่งเนื้อร้องเราจะเรียนตอนคิดทำนองหรือเรียนตอนคิดดนตรีก็ได้

  1. Lyric Centric ขับเคลื่อนด้วยเนื้อร้อง

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเริ่มทำเพลงจากเนื้อร้องก่อน วิธีนี้เหมาะกับคนที่ชอบโฟกัสกับเนื้อร้อง คิดเนื้อร้องมาเป็นบทกลอน แล้วเอาทำนองมาใส่เข้าไป วิธีนี้ทำได้แต่ก็ต้องอาศัยเซนส์ในการเข้าใจเพลงประมาณหนึ่ง เพื่อให้เราสามารถทำเนื้อร้องให้เป็นทำนองแล้วออกมาเป็นเพลงที่เพราะได้ ซึ่งก็มีทั้งคนที่อาศัยสัญชาตญาณในการทำได้เลย หรือมาจากเรียนทำนองหรือดนตรี และอาศัยความรู้ตรงนั้นทำให้เราสามารถใส่เนื้อร้องให้เข้ากับทำนองได้

วิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเก่งการแต่งเนื้อร้องคือเราต้องฝึกใส่ทำนองในประโยคหรือคำที่เราเห็นบ่อย ๆ บางทีเราเจอประโยคจาก social น่าเอามาทำเพลง เราก็ลองใส่ทำนองเข้าไปได้เลย ลองเว้นวรรคหรือเลือกโน้ตใส่ได้หลายแบบมาก ๆ เพื่อฝึกให้เรามีเซนส์ในการแต่งเนื้อเพลงได้ลื่นขึ้น

ในวิธีนี้เนื้อเพลงของเราก็จะออกมาดี เพราะเราโฟกัสได้เต็มที แต่ข้อเสียก็มีคือถ้าเราไม่ได้แม่นเรื่องเมโลดี้ ทำนอง บางทีมันจะดูไม่เพราะเท่าไหร่

  1. Melody Centric เริ่มต้นด้วยเมโลดี้หลัก

จะเน้นแต่งทำนองก่อน วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่มีเซนส์ด้านเมโลดี้ บางคนที่ชอบได้ยินเสียงในหัว ถ้าเรามีเซนส์ด้านนี้มาก เราสามารถนึกได้เลยว่าเสียงที่เราได้ยินเป็นโน้ตอะไร หรือแม้กระทั่งสามารถฮัมเมโลดี้นั้นออกมาได้โดยไม่เพี้ยนเลย รวมถึงจะสามารถด้นสดเมโลดี้เวลาเล่นคอร์ดจากกีตาร์หรือเปียโนได้เลย

ทีนี้ถ้าเราเริ่มต้นจากเมโลดี้ก็มีสองอย่างที่สามารถไปต่อคือ จะไปทางคิดเนื้อร้องต่อ หรือไปทางทำดนตรี ถ้าไปทางเนื้อร้อง เราก็จะมาดูว่าเมโลดี้ที่เราคิดเมื่อกี๊มันสามารถใส่คำได้กี่พยางค์ และหาคำมาใส่ให้พอดีกับเมโลดี้ของเรา แต่ก็ต้องระวังด้วยเพราะคำไทยจะมีวรรณยุกต์ที่ถ้าเพี้ยนจะฟังดูผิดธรรมชาติของคำนั้น หรืออาจทำให้ความหมายเพี้ยนไปเป็นอีกคำได้เลย

ฉะนั้น ข้อดีของการเริ่มสิ่งนี้คือเราจะได้เมโลดี้ที่เพราะ แต่ก็ต้องมีเน้นหนักเนื้อร้องให้เข้ากันด้วย เหมือนเล่นปริศนาหาคำ หาตัวอักษรมาใส่ให้คล้องจอง ฟังแล้วเพราะ รวมถึงมีเรื่องราวเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย

  1. Beat Centric เริ่มต้นด้วยดนตรี

ข้อนี้ไม่สนใจเนื้อร้อง ทำนองหลักเลย จะมาเน้นที่การทำดนตรี ทำเบส ทำกลอง ใส่คอร์ดต่าง ๆ ไปก่อนเลย ใส่ไลน์ประดับ เรียกว่ามีทุกอย่างจนเป็นดนตรีแบ็คกราวด์ได้เลย แล้วค่อยมาใส่ทำนองและเนื้อร้องทีหลัก ถ้าปกติเราทำแบบนี้ได้ก็ถือว่าจริง ๆ เรามีเซนส์ในด้านดนตรีอยู่แล้ว ในการจะฝึกใส่เมโลดี้เพิ่มเข้าไป เราอาจจะฝึกจากการฟังเพลงดนตรีแบ็คกราวด์ต่าง ๆ และลองฮัมเมโลดี้เข้าไป เช่น เวลาไปเดินห้าง ไปนั่งร้านกาแฟที่มักจะเปิดเพลงแบบนี้อยู่แล้ว ก็ลองฮัมเมโลดี้ที่คิดว่าเข้ากันได้ มันก็จะใกล้เคียงกับข้อ 2 แต่ต้องมีทิศทางจากดนตรีที่ดีก่อน

ข้อดีของการทำดนตรีก่อน เรียกว่าไว้ใช้เป็นอีกทางเลือกให้เราลองเวลาเริ่มต้นทำเพลงดีกว่า เพราะส่วนใหญ่คนที่เริ่มต้นทำเพลงแรก ๆ มักจะเริ่มจากสองข้อแรก ส่วนข้อนี้ต้องอาศัยความรู้ดนตรีพอสมควร ซึ่งในกระบวนการคิด สองข้อแรกเหมือนเราจะคิดจากจินตนาการกว้าง ๆ บางทีเราอาจจะคิดสะเปะสะปะ การทำดนตรีก่อนก็ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่บางทีก็อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราหลุดจากดนตรีที่ทำอยู่นี้ไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน

  1. Songwriting Centric การคิดเนื้อร้องและทำนองพร้อมกัน

หลายคนใช้วิธีนี้กันเยอะมาก อย่างตีคอร์ดและร้องเพลงไปด้วยเลย ซึ่งในการร้องเราก็ใส่เมโลดี้ไปเลยด้วย สิ่งที่ไม่ได้คือ เราอาจจะทำเป็นเพลงได้เร็วจริง ฟังดูดีในตอนนั้น แต่เราอาจจะคิดไปเองว่ามันดูดี ทีเราคิดแบบนั้นเหมือนหัวสมองเรากำลังแล่น กำลังทำงานทั้งคิดเมโลดี้ คิดเนื้อเพลง คิดคอร์ด และมือที่เราเล่นกีตาร์ไปด้วย ซึ่งพอมันต้องทำทั้งหมดนี้ไปพร้อมกัน สมองจะพาให้เราคิดคอร์ด เนื้อเพลง เมโลดี้ที่มันออกมากลาง ๆ แบบแค่พอใช้ได้สำหรับสถานการณ์ที่เจออยู่คือการทำทั้งหมดนี้ไปพร้อม ๆ กัน แต่มันก็ไม่เสมอไป แต่โอกาสที่จะดีมันน้อยมาก มันจะได้เพลงที่ฟังดูเพราะแต่ไม่ได้ว้าวหรือมีเอกลักษณ์ เรียกว่าเป็นเพลงเพลน ๆ เพลงหนึ่งที่ไม่สุดสักทาง แต่ถ้าเราเคยทำเพลงมามาก ทำจนเซียนมาแล้ว วิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะวัดได้ยังไงว่าเป็นเพลงที่ดีหรือไม่ เราอาจจะให้คนอื่นที่เชี่ยวชาญการทำเพลงช่วยฟังได้

สี่แบบนี้ เป็นวิธีการทำเพลงที่แตกต่างกัน แต่อย่างที่บอกว่ามันไม่มีผิดไม่มีถูก หรือบางทีเราอาจจะผสมวิธีกันเลยได้ เช่น ท่อนแรกเราคิดเมโลดี้ก่อน อีกท่อนหนึ่งเราอาจจะขอมาคิดเนื้อร้องไปด้วยเลย หรือทำดนตรีก่อนแต่ท่อนต่อไปเรามาคิดเมโลดี้ก่อน แบบนี้ก็ได้ แต่ขอให้มันได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ว่าวิธีไหนก็สามารถใช้เริ่มต้นทำเพลงได้หมดเลยครับ

ที่สำคัญ ไม่ว่าแบบไหน เราก็ต้องใส่ใจในกระบวนการทำแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเนื้อร้อง ทำนอง ทำดนตรี ให้ออกมาดีและตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดครับ

สำหรับใครที่สนใจเรียนทำเพลง อยากทำเพลงเป็นอาชีพ สามารถดูรายละเอียดได้ในหลักสูตร The Real Producer เรามีสอนวิชาต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณทำเพลงเป็นได้แน่นอน หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ

The Real Producer

REAL / DEEP / EXCLUSIVE

หลักสูตรโดย VERY CAT SOUND : Compose Your Dream

เราไม่ได้สอนให้คุณแค่ทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริง

ถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุยปรึกษากันได้ครับ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการทำดนตรีจริงๆ อยากเรียนรู้แบบลึก จริงจัง

นี่คือหลักสูตรที่เนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง นักทำดนตรี ในระดับมืออาชีพ

หลักสูตร The Real Producer

เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิชาดนตรีแท้ๆ ที่เป็นรากฐานในการสร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพทัดเทียมสากล

สนใจหลักสูตร ติดต่อ admin ที่ line ด้านล่าง หรือ รับ demo คอร์สเรียนฟรี! และข้อมูลเพิ่มเติม ที่ link

http://mkt.verycatsound.academy/mf2

——————

Contact

Line ID :

– เรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy

https://line.me/ti/p/@verycatacademy

– เรื่องจ้างทำเพลง @verycatsound

Tel. : 0856662425

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.