แนวดนตรี

50 แนวดนตรีที่ Music Producer ควรทำเป็น

Share via:

Krissaka Tankritwong

50 แนวดนตรีที่ Music Producer ควรทำเป็น

แค่เราทำเพลงเป็นสักเพลง เราอาจจะเรียกว่าตัวเองเป็น Music Producer ได้ก็จริง แต่คำถามคือ เรา
รับงานเพลงได้ทุกแนวจริงหรือไม่? คำตอบก็คงขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถทำแนวเพลงไหนได้เป็นหลัก ซึ่งถ้าใคร
ทำได้น้อยหน่อยก็อาจจะเสียโอกาสในแนวเพลงที่ทำไม่ได้ไป Verycat จึงอยากแนะนำ 50 แนวดนตรีที่
ครอบคลุมการทำเพลงในยุคปัจจุบัน แม้จะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าใครสามารถทำได้ครบทั้ง 50 แนวนี้คุณจะ
พร้อมรับงานจ้างได้ทุกรูปแบบอย่างแน่นอน โดย 50 แนวเพลงนี้ แบ่งออกให้เข้าใจง่าย ๆ เป็น 5 ช่วงดังนี้


ช่วงที่1 (แนวที่1 – 5) ดนตรีก่อนคริสตกาล ถึงช่วงประมําณ ศตวรรษที่19

  1. Classical Music ซึ่งในที่นี้จะรวมพวกดนตรี Baroque Classic Romantic เข้าไว้ด้วยเลย นึกภาพ
    ง่าย ๆ ก็คือดนตรีวงออเคสตร้า ถ้าทำเป็นก็จะมีความรู้เรื่องแนวคิด การใช้เครื่องดนตรีต่าง ๆ ได้
  2. Impressionist Music ดนตรีมีความละเมียดละไม มุ่งเน้นการสร้างบรรยากาศหรืออารมณ์ที่ไม่
    คาดคิด เช่นเดียวกับศิลปะในช่วงเดียวกัน ทำให้สามารถใช้กับการทำเพลงประกอบภาพได้
  3. Medieval Music เป็นดนตรียุคกลางประมาณปี ค.ศ. 500 – 1400 นึกภาพง่าย ๆ คือยุคเดียวกับ
    Game of Throne มีอัศวิน มีเวทมนตร์ ซึ่งถ้าจะทำได้ต้องอาศัยความรู้เรื่อง Mode ด้วย
  4. Avant-Garde music เป็นเหมือนดนตรีทดลองของทางคลาสสิค มีการใช้ทางคอร์ดอีกแบบหนึ่งซึ่ง
    ถือว่านอกกรอบในยุคนั้น แต่ปัจจุบันก็ยังมีการใช้ เช่น เป็นดนตรีประกอบในหนังเรื่อง Poor Thing
  5. Ragtime Music เป็นดนตรีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดดเด่นด้วยจังหวะที่สนุกสนานแบบฟีล
    Retro นึกภาพง่าย ๆ เหมือนสวนสนุก มีม้าหมุน

ช่วงที่2 (แนวที่6 – 15) “Jazz Music”

  1. Blues Music หนึ่งในแนวดนตรีที่เป็นรากฐานให้กับอีกหลาย ๆ แนว เช่น Jazz , Rock and Roll
    รวมไปถึงเป็นพื้นฐานการ Improvise ดนตรีด้วย เป็นอีกหนึ่งแนวที่ควรเรียนและทำให้ได้
  2. New Orleans Jazz เป็น Jazz ยุคดั้งเดิม เริ่มสร้างจังหวะ Swing มาใช้เป็นครั้งแรก ให้ความรู้สึก
    ใกล้เคียงกับ Ragtime มักจะเอาไปใช้ผสมเป็นแนวอื่น ๆ เช่น Gypsy Jazz
  3. Swing Big Band Jazz เป็น Jazz แบบวงขนาดใหญ่คล้ายออเคสตร้า เป็นดนตรีที่มีอิทธิพลต่อการ
    เต้นรำในยุคนั้น หาฟังตัวอย่างง่าย ๆ จากหนังเรื่อง Swing Girls ที่มีจังหวะสนุกสนานไปกับการเต้น
  4. Bossa nova , Samba เป็นอีกหนึ่งแนวที่มีอิทธิพลจาก Jazz ใช้คอร์ด Jazz เข้าไปผสม ทำให้ถ้า
    อยากเป็นแนวนี้ ต้องศึกษาเรื่อง Jazz ด้วย ซึ่งแนวเพลงนี้เป็นที่นิยมกันอยู่เรื่อย ๆ ด้วย
  5. Bebop เป็น Jazz ที่ฟังยากขึ้น มีการโซโล่ Improvise ที่ดุเดือด ซับซ้อน แตกต่างจาก Jazz ดั้งเดิม
    ที่อาจจะเน้นการเล่นเป็นชุด ซึ่งก็ยังมีการใช้แนวนี้เป็นเพลงประกอบสินค้าคลาสสิคได้
  6. Cool Jazz เป็นแนวที่คาบเกี่ยวกับ Bebop แต่สไตล์จะมีความเรียบง่าย ละเอียดอ่อนกว่า นึกถึง
    เพลงเปิดคลอบรรยากาศใน Lobby โรงแรมหรู ที่ช่วยเติมความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น เป็นกันเอง
  7. Hard Bop เป็นแนวที่คาบเกี่ยวกับ 2 แนวก่อนหน้า แต่จะให้ความรู้สึกถึงคนดำมากกว่า มีอารมณ์
    ของดนตรี Funk ผสมเข้าไปด้วย
  8. Modal Jazz คือแนวเพลง Jazz ที่เน้นการใช้ Mode เพื่อสร้างอารมณ์ บรรยากาศที่หลากหลายขึ้น
  9. Fusion Jazz เป็นการนำ Jazz มาผสมกับแนวอื่น ๆ เช่น Funk , R&B , Rock and Roll ,
    Electronic ท าให้เพลงมีความหลากหลาย ซับซ้อน ตัวอย่างชัด ๆ ที่หาฟังกันได้ เช่น Casiopea
  10. Free Jazz เป็น Jazz ที่ไม่มีโครงสร้างตายตัว ประมาณว่าเป็นดนตรีทดลองของทาง Jazz ไม่มี
    กฏเกณฑ์ตายตัว สามารถทำเพลงตามความรู้สึกของผู้สร้างได้

ช่วงที่3 (แนวที่16 – 30) “Rock” แนวดนตรีที่เล่นกับ Band เป็นหลัก

  1. Rock and Roll , Rockabilly แนวดนตรีที่โดดเด่นด้วยกีตาร์ไฟฟ้า มีจังหวะที่เร็ว รวมถึงผสมผสาน
    แนว Blues และ Country มาเล่นกับจังหวะให้รู้สึกมีพลังมากขึ้น
  2. British Rock เป็นการผสมผสานดนตรี Rock ของอเมริกาเข้ากับวัฒนธรรมดนตรีแบบอังกฤษ
    ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือ The Beatles ซึ่งส่งอิทธิพลต่อดนตรีในช่วงนั้นอย่างมาก
  3. Soft Rock เป็นร็อคที่ฟังสบายขึ้น ลื่นหู ดนตรีจะมีความนุ่มนวล สร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ซึ่ง
    ส่วนใหญ่จะมีองค์ประกอบของโฟล์คผสมอยู่ ตัวอย่างศิลปินที่เห็นได้ชัด คือ Fleetwood Mac , Bread
  4. Psychedelic Rock เป็นดนตรีที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการใช้ยา หรือสารเสพติดต่าง ๆ มีการใช้
    Reverb Echo หรือ Delay เข้าช่วย เพื่อสร้างความรู้สึกล่อยลอย หรือในเชิงที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ
  5. UK Punk Rock ดนตรีพังห์อังกฤษที่แสดงออกถึงความต่อต้านทางสังคม มีรากฐานมาจาก Rock
    แต่จะมีจังหวะที่เร็ว ดนตรีที่ให้ความรู้สึกดุเดือด รุนแรง เช่น Sex Pistols
  6. Krautrock เกิดขึ้นจากเยอรมนี เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Rock และ Electronic ซึ่งเป็น
    การทดลองสร้างเสียงใหม่ ๆ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเดิมมากนัก
  7. Hard Rock เป็นแนวดนตรีร็อกที่มีเสียงหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลัง ใช้กีตาร์ไฟฟ้าเสียงดัง เบส
    กลองหนักแน่น ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือ Guns N’ Roses , Led Zeppelin
  8. Heavy Metal เป็นแนวที่แตกออกมาจาก Hard Rock ดนตรีที่มีความเข้มข้นขึ้นไปอีก ใช้เสียง
    Distortion อย่างไม่ยั้ง มีการเล่นกีตาร์ที่เร็วข้น ตัวอย่างเช่น Metallica
  9. New Wave , Electronic Rock เป็นแนวที่ผสมผสานดนตรี Punk Rock , Electronic เข้าด้วยกัน
    เกิดเป็นเสียงใหม่ มีความแปลกและทันสมัยขึ้น
  10. Alternative Rock เป็นดนตรี Rock ที่ฉีกออกจากเดิม จากแต่ก่อนที่ไล่สเกล เปลี่ยนเป็นการเล่น
    ดิบ ๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ปรับแต่งมากเกินไป มีความเป็นธรรมชาติ แต่คงไว้ซึ่งอารมณ์ที่เข้มข้น
  11. Brit Rock , Brit Pop เป็น Poprock แบบอังกฤษ ให้ฟีลที่แตกต่างจาก Rock ของฝั่งอเมริกา เช่น
    เปลี่ยนจากตีคอร์ดขึ้นลง เป็นการตีลงอย่างเดียว
  12. Poppunk เป็นแนวที่ผสมผสาน Punk Rock , Pop เข้าด้วยกัน มีเมโลดี้ที่ติดหู ฟังง่ายขึ้น
    สนุกสนาน มีฟีลโยกหัวได้พอประมาณ
  13. Garage Rock เสียงจะมีความดิบ ไม่ปรุงแต่งมาก แสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติ และเล่น
    ออกมาในมาดกวน ๆ หน่อย คู่กับภาพแฟชั่นขาเดฟ ที่ดังขึ้นมาพร้อมกันในช่วงนั้น
  14. Math Rock เป็นแนวที่เฉพาะตัวพอสมควร มีการค านวณห้องดนตรีและเล่นในจังหวะยาก ๆ ใช้
    โครงสร้างที่ไม่ปกติแต่เอามาทำเป็นสไตล์ Rock ทำให้ได้อีกฟีลที่แตกต่างจากแนวอื่น
  15. Post Rock เป็น Rock ที่เน้นการสร้างบรรยากาศและอารมณ์ ไม่อิงกฎเกณฑ์การใช้โครงสร้าง เช่น
    ลอย ๆ ฟุ้ง ๆ หม่น ๆ ดิ่ง ๆ พุ่ง ๆ ซึ่งเรามักจะได้ยินคำแบบนี้บ่อย ๆ เวลาฟังเพลงแนวนี้

ช่วงที่4 (แนวที่31 – 40) แนวดนตรีอื่น ๆ ในช่วงที่คาบเกี่ยวกับดนตรีRock

  1. Soul , R&B , Motown ทั้ง 3 แนวมีความใกล้เคียงกัน มีการใช้คอร์ด Jazz รวมถึงจังหวะต่าง ๆ ที่
    ให้ความรู้สึกลื่นไหล สามารถโยกได้พอประมาณ
  2. Funky Music พัฒนาต่อมาจาก Soul , R&B อีกที เป็นแนวที่มีความสนุกสนาน มีการเดินจังหวะ
    เน้นทั้งจังหวะตบ จังหวะยก ได้อย่างมีลูกเล่น
    33.Disco มีจังหวะที่จดจำง่าย ลื่นไหลด้วยเสียงเบสและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหนึ่งในแนวที่มีสีสัน
    สนุกสนาน และยังได้รับความนิยม เรียกว่าเป็นอมตะเลยก็ว่าได้
  3. Reggae Ska Dub เป็นแนวที่ใกล้เคียงกัน อย่าง Reggae จะเน้นไปทางอารมณ์ มีจังหวะเดินเบส
    โดดเด่น Ska จะอัพจังหวะขึ้นมา มีความคึกคัก ส่วน Dub จะมีการใช้เทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆเข้าไป
  4. New Age , World Music ทั้งสองจริง ๆ เป็นคนละแนว แต่มีบางอย่างคล้ายกัน เช่น มีความรู้สึก
    ล่องลอยจากสิ่งที่อยู่เหนือจริง ล้ำสมัย (New Age) หรือธรรมชาติ วัฒนธรรมพื้นบ้าน (World Music)
  5. Country Music ประมาณว่าเป็นลูกทุ่งในฝั่งอเมริกา ใช้กีตาร์เป็นหลัก มีการร้องเอื้อน ๆ เหน่อ ๆ
    ให้ความรู้สึกถึงทุ่งหญ้า ฟาร์มต่างจังหวัด
  6. Folk Music ใช้กีตาร์เป็นหลัก ใกล้เคียงกับ Country Music แต่จะไม่เหน่อ เนื้อหาออกไปในทาง
    เพื่อชีวิต สะท้อนให้เป็นถึงความเป็นอยู่ หรือความอัดอั้นต่อบางสิ่ง
  7. Indie Pop เป็นดนตรีที่ต่างจาก Pop อื่น ๆ อาจจะมีความเก๋ เฟี้ยว ขึ้น แต่ก็มีหลากหลาย
    พอสมควร ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
  8. Pop แนวนี้จริง ๆ เริ่มต้นจากเป็นค าที่ใช้เรียกในช่วงที่ The Beatles มีอิทธิพลทางดนตรี ทำให้
    นิยามคำว่า Pop ว่าเป็นแนวเพลงลักษณะนี้ และเริ่มใช้เรียกว่าเป็นแนวเพลงตั้งแต่นั้นมา
  9. Rap , Hiphop เป็นแนวที่โดดเด่นเรื่องจังหวะการร้องเฉพาะตัว รวมถึงการใช้เสียงอิเล็กทรอนิกส์
    มาสร้างสีสัน และเริ่มดังขึ้นตั้งแต่ช่วง 2010 เป็นต้นมา

ช่วงที่5 (แนวที่41 – 50) Electronic Music

  1. House ดนตรี Electronic ที่พัฒนาจาก Disco มีจังหวะสม่ำเสมอ ลงเสียงเบสหรือกลองที่ชัดเจน
    มักใช้ประกอบแฟชั่นโชว์ เดินแบบที่ให้นางแบบสามารถเดินตามจังหวะได้
  2. Trance เป็นแนวเพลงที่เน้นการสร้างบรรยากาศของเสียงที่ลอยและมีพลัง โดยใช้เสียง
    synthesizers ค่อย ๆ บิลด์อารมณ์ จนสร้างความรู้สึกให้เข้าสู่สภาวะ “trance” หรือภวังค์ตามชื่อแนว
    43.Techno เป็นแนวที่มีจังหวะซ้ำ ๆ มีการใช้ sequencer มาสร้างเพลง พร้อมกับเดินไลน์เสียงเบสที่
    ลึก มีบีทที่แน่น
  3. Big Beat มีลักษณะเด่นด้วยเสียงสแนร์ที่คมชัดและดังกว่ากระเดื่อง ช่วยเพิ่มพลังให้กับเพลง
    ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ Fatboy Slim
  4. Jungle , Drum and Bass (DNB) เป็นแนวที่เด่นด้วยความเร็ว อาจจะสูงถึง 180 BPM เต็มไป
    ด้วยความตื่นเต้น มีพลัง ให้ความรู้สึกรีบร้อนและมีชีวิตชีวา
  5. Ambient แนวดนตรีที่มักเน้นเสียงและบรรยากาศ สงบ ผ่อนคลาย มีความเคลื่อนไหวในจังหวะ
    หรือทำนองน้อย คล้าย ๆ New Age , World Music
  6. EDM (Electronic Dance Music) จะมีลักษณะคล้าย ๆ House แต่จะมีการอัพบีท เดินจังหวะให้
    มีความสนุกสนาน
  7. IDM (Intelligent Dance Music) เป็นดนตรีElectronic ที่เน้นความซับซ้อน มักจะเล่นกับเสียงที่
    บิดเบี้ยว ไม่สมบูรณ์ หรือเล่นกับเสียง noise
  8. Dubstep โดดเด่นด้วยบีทที่ชัดเจน มีลูกเล่นเบสแบบ wobble ที่ช่วยให้เสียงเบสดูมีชีวิต ชีวา
    ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ Skrillex

50.Future Bass มีการผสมผสานหลากหลายเสียงเข้าด้วยกัน พร้อมกับเปลี่ยนจังหวะบ่อย ๆ ทำเสียง
สูง – ต่ำ ในบางช่วง เพื่อเพิ่มมิติให้กับเพลง
นอกจาก 50 แนวเพลงนี้แล้ว จริง ๆ ยังมีแนวเพลงอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น J pop , K pop หรือแม้แต่ลูกทุ่งใน
บ้านเรา ที่คิดว่าสักครั้งในชีวิตของการเป็น Music Producer อาจจะมีโอกาสได้ ซึ่งหากสนใจสามารถหา
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน


The Real Producer
REAL / DEEP / EXCLUSIVE
หลักสูตรโดย VERY CAT SOUND : Compose Your Dream
เราไม่ได้สอนให้คุณแค่ทำเป็น แต่สอนให้คุณเก่ง รู้ลึก รู้จริง ถ้าคุณมีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน มาคุย
ปรึกษากันได้ครับ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการท าดนตรีจริงๆ อยากเรียนรู้แบบลึก จริงจัง นี่คือหลักสูตรที่
เนื้อหาครอบคลุมทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเป็นโปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง นักทำดนตรี ในระดับมืออาชีพ

หลักสูตร The Real Producer
เล็งเห็นถึงความสำคัญของวิชาดนตรีแท้ๆ ที่เป็นรากฐานในการสร้างงานดนตรีที่มีคุณภาพทัดเทียมสากล
สนใจหลักสูตร ติดต่อ admin ที่ line ด้านล่าง หรือ รับ demo คอร์สเรียนฟรี! และข้อมูลเพิ่มเติม ที่ link
http://mkt.verycatsound.academy/mf2
——————
Contact
Line ID :

  • เรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy
  • เรื่องจ้างทำเพลง @verycatsound

Tel. : 0856662425

Leave a Comment

ベリーキャットサウンド ©2014 Copyright. All Rights Reserved.