สำหรับน้องๆหรือหลายๆคนที่กำลังเล็งว่าจะเข้าคณะดนตรีอยู่ แต่ไม่รู้ว่าการสอบเข้าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
หลังจากที่เราเคยแนะนำการเรียนดนตรีในมหาวิทยาลัยกันไปแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้
(มหาวิทยาลัยดนตรี 4 ปีเค้าเรียนกันอะไรกันบ้าง? https://verycatsound.com/blog-musicuniversity/)
และยังมีติดกันเรื่องเรื่องสอบเข้า ในครั้งนี้เราเลยจะมาลงลึกรายละเอียดในเรื่องนี้กันให้นะครับ
คณะดนตรีเป็นคณะที่สอบเข้าค่อนข้างยากกว่า จะเรียกว่ายากกว่าคณะอื่นไหม ก็ต้องบอกว่า พอประมาณ ขึ้นอยู่กับว่าเทียบกับคณะอะไร เพราะมันเป็นการสอบความสามารถเฉพาะทาง แน่นอนว่าจะมีหลายมหาวิทยาลัยที่มีเปิดรอบปกติเหมือนคณะอื่นๆ คือต้องมีคะแนนระดับมัธยม กับ คะแนนสอบวิชาปกติมาใช้พิจารณาร่วมกับการสอบเฉพาะทางทางด้านดนตรีด้วย แต่บางมหาวิทยาลัยก็มีรอบพิเศษ หรือที่เรียกว่าการสอบตรง คือสามารถยื่น portfolio (ผลงานที่ผ่านมา) บวกกับสอบความสามารถพิเศษทางด้านดนตรี แล้วเข้าได้เลย โดยไม่ต้องสอบวิชาการปกติ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ระเบียบการในแต่ละปีจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามแต่ยุคสมัยและระบบการ entrance ในปีนั้นๆ อยากให้แต่ละคนหาข้อมูลกันให้ดีๆ เพราะแต่ละที่ก็มีระเบียบการไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่คล้ายกันแน่ๆคือการสอบความสามารถทางดนตรีนี่แหละครับ ซึ่งผมจะขอพูดถึงในส่วนนี้เท่านั้น โดยไม่เกี่ยวกับการสอบวิชาการนะครับ
————
สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการสอบดนตรี
แน่นอนเลยว่าการเข้าคณะดนตรี แทบจะทุกสาย ต้องมีการสอบทฤษฎีดนตรี จะเป็นทฤษฎีดนตรีพื้นฐาน แต่คำว่าพื้นฐานนี่มันถึงระดับไหนนี่สิ เนื้อหาที่ครอบคลุมโดยส่วนใหญ่แล้วจะประมาณนี้ครับ
Note & Pitch : การอ่านโน้ตเบื้องต้น เครื่องหมายกุญแจเสียงต่างๆ ควรอ่าน-เขียนโน้ตเป็นในระดับบทเพลงความยากระดับง่ายถึงกลางๆได้
Rhythmic : ควรพออ่านและเขียนโน้ตจังหวะแบบต่างๆที่ไม่ยากเกินไปได้
Scale : ความเข้าใจใน Scale Major , Minor แบบต่างๆ ควรเขียนสเกลได้อย่างถูกต้อง ทั้งแบบเครื่องหมายกำหนดกุญแจเสียงและแบบ Accidental บางที่อาจจะไม่โหด แต่บางที่ที่โหดหน่อยอาจจะเอาทั้ง Natural Minor , Harmonic Minor และ Melodic Minor เลย
Chord : ความเข้าใจในคอร์ด Triad 4 แบบ ควรอ่านและเขียนคอร์ดไตรแอดทั้งหมดได้เป็นอย่างต่ำ หรือถ้าได้ถึงคอร์ดเซเว่นได้จะยิ่งดี อันนี้แล้วแต่บางที่กับบางสาขา ถ้าเป็นที่ๆยากหน่อย หรือเป็นสาขา Jazz ควรได้ไว้จะดีกว่า
Interval : ขั้นคู่ ควรเข้าใจและเขียนขั้นคู่ได้ทั้งหมด
Chord Progression : ควรแม่นและเข้าใจ Chord Progression แบบง่ายๆ บน Diatonic ที่มี 7 Chord บนสเกลได้เป็นอย่างดี
4 Part Writing : ควรพอเข้าใจเรื่องการเรียบเรียงเสียงประสานสี่แนวอยู่บ้าง น่าจะเป็นการดีกว่า เพราะบางที่ก็สอบถึงเรื่องนี้ บางที่ก็ไม่ถึง
ปล. การสอบทฤษฎีมักเป็นข้อเขียน ที่อาจมีทั้งแบบเป็นตัวเลือก และแบบเติมข้อความหรือเติมตัวโน้ต ควรหาข้อสอบเก่าปีก่อนๆ ของสถาบันนั้นๆมาทำเยอะๆให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้รู้แนวข้อสอบก่อนครับ
การสอบปฎิบัติเครื่องดนตรี ในที่นี้รวมถึง Voice หรือการขับร้องด้วย เป็นอีกเรื่องที่เป็นปราการโหดหินสำหรับหลายๆคน เพราะมันเป็นสิ่งที่กินเวลาฝึกฝนนานที่สุด และไม่มีทางลัด ใครที่เล่นหรือเรียนดนตรีมานานตั้งแต่ยังเด็ก จะได้เปรียบเรื่องนี้มากกว่า แต่ถ้าใครที่เริ่มช้าก็ต้องขยันซ้อมเยอะหน่อย ตรงนี้ต้องบอกเลยว่า ถ้าใครที่เพิ่งมาเริ่มเล่นดนตรีจริงๆ หรือร้องเพลงก็แทบไม่ได้เลย คุณต้องใช้เวลาซ้อมอย่างเข้มข้น อย่างต่ำราวๆ หนึ่งปีแน่ๆก่อนจะเข้าไปสอบเรียนได้ แต่ถ้าคุณเอาจริง ไม่ยอมแพ้กับมัน มันก็เป็นไปได้หมดแหละครับ เนื้อหาที่สอบจะมีประมาณนี้ครับ
Song : การเล่นเพลง ส่วนใหญ่จะเป็นระดับกลางๆ ส่วนจะเป็นเพลงอะไรแบบไหน จะแล้วแต่สาขาที่สอบ เช่น Classic หรือ Jazz หรืออื่นๆ โดยส่วนใหญ่ แม้ว่าจะเป็นสาขาอื่นที่ไม่ใช่ Jazz กับ Classic ก็ตาม ก็จะต้องเลือกสอบเพลง Classic หรือ Jazz ที่เป็นรากฐานของดนตรีอยู่ดี ในส่วนนี้ต้องบอกว่า ถ้าเคยฝึกสายคลาสสิคมาอยู่แล้ว ให้เลือกสอบสายนั้นเลยก็ได้ครับ บทเพลงที่สอบมักจะอยู่เกรดกลางๆ ช่วง เกรด 4-5 ขึ้นไปราวๆนี้ แต่ถ้าเป็นสาย Pop มา ควรโฟกัสมาฝึก Jazz เพื่อสอบเข้าจะเป็นหนทางที่ง่ายกว่าและตรงกว่าครับ เพราะ Pop สามารถต่อยอดมา Jazz ได้เลย หรือถ้าสาขาที่เล็งไว้สอบตรงนี้ไม่เคร่งมาก อาจเป็นไปได้ว่าฝึก Pop/Rock ก็อาจใช้เข้าสอบได้ครับ แล้วแต่รายละเอียดเพลงที่เค้ากำหนด แต่ถ้าเอาชัวร์ ถ้าอยากเข้าได้แน่ๆ เล่น Jazz หรือ Classic จะชัวร์กว่าครับ
Scale : เล่นสเกล ทั้ง Major , Minor (1-3 แบบ แล้วแต่ความโหดของแต่ละที่) ในกรณีของเปียโนโดยควรเล่นได้อย่างต่ำ 2 Octave พร้อมกันทั้งสองมือ หรือถ้าเอาชัวร์ก็ 4 Octave ไปเลยครับ
Chord : ควรเล่น Triad Chord ได้ทุกแบบ และเล่น Inversion ได้ทุกตำแหน่ง เป็นอย่างต่ำ ถ้าได้ถึง seventh chord ด้วยเลยก็ยิ่งดีครับ
ปล.1 ในเกณฑ์การสอบปฎิบัติแต่ละที่ จะมีกำหนด Tempo หรือความเร็วไว้ให้ด้วย ถ้าจะให้ชัวร์ เราควรซ้อมทั้งหมดด้วย Tempo นั้นให้ได้คล่องหมด และเล่นเนี้ยบโดยไม่ผิดเลย ยิ่งเราเล่นได้สมบูรณ์แบบมากเท่าไร ยิ่งมีสิทธิ์ที่จะสอบติดสูงมากตามไปด้วยครับ
ปล.2 เครื่องดนตรีอื่นๆ ที่ไม่ใช่เปียโนกับกีตาร์ อาทิ เบส เครื่องเป่า เครื่องสายต่างๆ หรือการร้องเพลง อาจมีลูกฝึกบางอย่างที่ต้องซ้อมเพื่อใช้สอบด้วย อาทิ การเล่น Arpeggio ยังไงศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสอบกลอง ที่ไม่มีส่วนของ Scale , Chord เลย จะมีวิธีสอบที่มีความเฉพาะตัวแตกต่างกับเครื่องอื่นๆ
ปล.3 บางทีแล้วตอนสอบจริง เราอาจจะไม่ต้องเล่นทุกอย่างที่เราซ้อมมาให้ดูทั้งหมด แต่อาจจะโดนถามสุ่ม แล้วให้เล่นทันที ซึ่งถ้าเราได้หมดมาจนคล่องอยู่แล้วก็เป็นเรื่องดี เพราะไม่ต้องห่วงอะไร แต่ถ้าเราไม่คล่องบางอย่าง ก็ยังมีโอกาสสอบได้ ถ้าเค้าไม่ได้สุ่มโดนสเกลหรือคอร์ดที่เราไม่ถนัดครับ
การฝึกหู หรือฝึกการฟัง เป็นอีกส่วนที่ยากสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่ยาก แล้วแต่ประสบการณ์ทางดนตรีที่สั่งสมกันมา เพราะบางคนอาจมีหูที่ดีมากโดยที่ตัวเองไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ร้องโน้ตถูกต้องหมด อันนี้พอได้มาเรียนติวเพื่อสอบ อาจจะรู้สึกว่าไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน แต่สำหรับบางคนที่หูไม่ได้ดีมาก อาจจะเล่นดนตรีมาไม่นาน หรือเพิ่งเริ่มเลย หรือบางคนอาจจะเล่นเครื่องเอกเป็นกลองมา มักจะมีปัญหาเรื่องนี้กันเยอะ ฉะนั้นต้องมีการเรียนและฝึกฝนพิเศษเพื่อให้หูดีขึ้นและผ่านเกณฑ์การเข้าเรียนได้ครับ เรื่องที่เป็นเกณฑ์ในการสอบมีดังนี้ครับ
Interval : ขั้นคู่ เป็นการฝึกฟังว่าโน้ตที่เปล่งเสียงพร้อมกันสองโน้ตนั้นเป็นคู่อะไร ถ้าแม่นยำได้จะดีมากครับ
Triad Chord : คอร์ดไตรแอด ฝึกฟังว่า คอร์ดที่ได้ยินมีคุณภาพอะไร คือ Major , Minor , Aug หรือ Dim โดยมากจะแค่นี้ครับ แต่ถ้าสามารถฝึกได้ถึงแยกแยะ Inversion ได้ก็เป็นเรื่องดีครับ
Solfege : การอ่านโน้ตแล้วร้องโน้ตสด ค่อนข้างจะยากพอสมควร ถ้าทำไม่ได้ไม่เป็นไรครับ เพราะพบได้น้อยว่าในระดับต่ำกว่ามหาวิทยาลัยจะทำได้ แต่ถ้าทำได้รับรองว่าเป็นแต้มต่อแน่นอน
ปล. Ear Training หลักๆจะสอบแค่สองอย่างแรกครับ และถ้าใครที่คิดว่าต้องฟังโน้ตแล้วบอกได้เลยว่านั่นโน้ตอะไร อันนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดครับ เรียกว่า Perfect Pitch ซึ่งทำไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวครับ เพราะกว่าจะทำได้แบบนั้นมันต้องเล่นดนตรีหรือซ้อมเยอะมากมานับสิบปี มักจะไม่อยู่ในระดับการสอบปริญญาตรีอยู่แล้วครับ แต่ถ้าใครทำได้ ก็คือมีแต้มต่อแน่ๆ
ผมเคยทำ Content เกี่ยวกับการฝึก Ear Training หรือ ฝึกจำขั้นคู่ด้วยบทเพลง 12 เพลง ลองเข้าไปดูได้ครับ
หรือถ้าใครอยากเรียนทางเราก็มีสอนครับ ติดต่อเข้ามาได้
————
คุณควรมีเวลาเตรียมตัวกับการสอบทั้งสามอย่างนี้ อย่างน้อย 1 ปี (หรือ 2-3 ปี หรือมากกว่านั้น) ที่ต้องจริงจังกับมัน และถ้าไม่ได้เรียนแล้วคิดว่าจะสอบได้ ต้องขอบอกว่ายากครับ เรียนเถอะ ดนตรีเป็นสิ่งที่ฝึกเองได้ก็จริง แต่การเรียนจะทำให้เรียนรู้การฝึกอย่างถูกหลัก ไม่ต้องคลำเอง และเสียเวลาน้อยกว่ามากๆไม่รู้กี่เท่า และยิ่งกับการเรียนในระบบ แบบ Academic ถ้าจะสอบเข้า ยังไงก็ต้องเรียนติวก่อนเพื่อสอบครับ
การสอบทั้งหมดที่ว่ามา มักจะมีคะแนน ซึ่งผู้ที่ทำคะแนนได้ระดับ top มักจะมีสิทธิในการได้ทุนการศึกษา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา คนที่ได้มักจะเป็นคนที่เก่งดนตรีมากๆมาอยู่แล้ว เพราะเรียนอย่างต่อเนื่องหรือประกวดชนะอะไรมาระดับหนึ่ง มักจะมีแทบทุกมหาวิทยาลัย
ประมาณนี้นะครับสำหรับการสอบเข้าคณะดนตรี หวังว่าข้อมูลเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆคนที่เล็งสอบเข้ามหาวิทยาลัยดนตรี หรือคณะดนตรีอยู่ ยังไงก็ขอให้ทุกคนตามฝันให้สำเร็จนะครับ
หรือถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยใฝ่ฝันอยากเรียนคณะดนตรี ในมหาวิทยาลัย เพราะรักในดนตรี และอยากจริงจังกับมัน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตามที่ทำให้พลาดโอกาสนั้น ข่าวดีคือ หลักสูตร The Real Producer นั้นมีไว้เพื่อคนที่จริงจังกับดนตรี อยากทำเป็นอาชีพไม่ว่าโปรดิวเซอร์หรือศิลปิน คนที่ยังมีไฟในการทำตามฝันโดยไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา คนแบบคุณครับ
หากสนใจสามารถติดต่อแอดมินที่ ไลน์ @verycatacademy หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ link ด้านล่างสุดนี้ได้ครับ
————————
VERY CAT SOUND
Compose Your Dream
.
ถ้าคุณรู้ตัวแล้วว่าดนตรีไม่มีทางลัด ถ้าคุณอยากเข้าใจ และเชี่ยวชาญ
ถ้ามีอาชีพโปรดิวเซอร์เป็นความฝัน ผมไม่อยากให้คุณหลงทาง
มาคุยปรึกษากันได้ครับ ยินดีให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
.
รับ demo คอร์สเรียนฟรี และข้อมูลหลักสูตรเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่นี่
http://mkt.verycatsound.academy/mf2
ติดต่อจ้างทำเพลง Line @verycatsound
ติดต่อเรื่องเรียนทำเพลง @verycatacademy